วัดสาวชะโงก : วัดริมแม่น้ำบางปะกงกับตำนานและความศักดิ์สิทธิ์

วัดสาวชะโงก : จากตำนานรักสู่ศูนย์รวมศรัทธาแห่งแปดริ้ว
วัดสาวชะโงก เป็นวัดเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของจังหวัดฉะเชิงเทรา ที่มาของชื่อวัดนั้นผูกพันอยู่กับตำนานโศกนาฏกรรมความรักที่เล่าขานสืบต่อกันมา
ตำนานโศกนาฏกรรมความรัก…สู่ที่มาของชื่อวัด
เรื่องเล่ามีอยู่ว่า หญิงสาวรูปงามแห่งบ้านบางคล้ากำลังจะเข้าพิธีวิวาห์กับชายหนุ่มรูปงามจากอำเภอบ้านสร้าง จังหวัดปราจีนบุรี ในวันแห่งฤกษ์งามยามดี ขบวนเรือขันหมากอันยิ่งใหญ่ของฝ่ายเจ้าบ่าว ซึ่งมีเรือกางร่มคันใหญ่ถึง ๓ คัน พร้อมด้วยขนมนมเนยนานาชนิด ได้ล่องมาตามลำน้ำและจอดรอเทียบท่าใกล้บ้านเจ้าสาว
ด้วยความตื่นเต้นและอยากยลโฉมว่าที่เจ้าบ่าว หญิงสาวจึงเฝ้ารอและ “ชะโงก” หน้าต่างเรือนไทยโบราณของตนออกมามอง แต่เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อเธอพลัดตกลงมาจากเรือนจนเสียชีวิตในที่สุด
ความสูญเสียอันน่าเศร้านี้ทำให้ครอบครัวของฝ่ายหญิงตัดสินใจอุทิศที่ดินผืนนั้นประมาณ ๖ ไร่เพื่อสร้างวัด และตั้งชื่อว่า “วัดสาวชะโงก” เพื่อเป็นอนุสรณ์รำลึกถึงลูกสาวอันเป็นที่รัก
ส่วนฝ่ายเจ้าบ่าวเองก็โศกเศร้าเสียใจอย่างยิ่งที่งานมงคลต้องจบลงด้วยโศกนาฏกรรม เขาได้เดินทางกลับบ้านพร้อมกับความว่างเปล่า และทิ้งขนมนมเนยที่เตรียมมาไว้ ณ บริเวณโค้งน้ำนั้น ซึ่งต่อมาผู้คนจึงเรียกขานคุ้งน้ำนั้นว่า “โค้งขนมบูด” นอกจากนี้ บริเวณที่ขบวนเรือของเจ้าบ่าวเคยจอดทอดสมออยู่ ชาวบ้านในยุคต่อมาได้ร่วมใจกันสร้างวัดขึ้นอีกแห่งหนึ่งเพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งความรักของเจ้าบ่าว และตั้งชื่อว่า “วัดสามร่ม” ตามจำนวนร่มคันใหญ่ในขบวนเรือนั่นเอง
ประวัติการก่อตั้งและพัฒนาการของวัด
วัดสาวชะโงก ได้รับการก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๕๖ ตรงกับรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ ๒) โดย นายนุช และ นางยัง สองพี่น้องซึ่งเป็นบิดามารดาของเจ้าสาวในตำนาน ได้บริจาคที่ดินเพื่อสร้างวัดในยุคแรกเริ่ม ตัววัดยังมีขนาดเล็กและกุฏิสงฆ์มุงด้วยใบจาก
การพัฒนาในยุคแรก
- พ.ศ. ๒๓๘๐ เริ่มมีการรวบรวมทุนทรัพย์เพื่อก่อสร้างพระอุโบสถหลังแรกเป็นอาคารก่ออิฐถือปูน
- พ.ศ. ๒๓๙๒ การก่อสร้างปฏิสังขรณ์วัดสำเร็จลุล่วงด้วยความร่วมมือจาก ขุนพัฒน์ (รั้ง) และชาวบ้าน พร้อมทั้งได้ทำพิธีผูกพัทธสีมาเป็นครั้งแรกในสมัยที่ พระอธิการสังข์ เป็นเจ้าอาวาส
- พ.ศ. ๒๔๔๘ ในสมัยของ พระอธิการขิก ได้มีการสร้างมณฑปเพื่อประดิษฐานรอยพระพุทธบาทจำลอง
ยุคแห่งการขยับขยายและความรุ่งเรือง
วัดสาวชะโงกได้รับการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดในยุคต่อๆ มา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขยายอาณาเขตของวัด
- พ.ศ. ๒๔๕๗ นายเจิม ผู้มีจิตศรัทธา ได้ถวายที่ดินเพิ่มเติมให้แก่วัดจำนวนมากถึง ๔๘ ไร่ ๙๖ ตารางวา ทำให้วัดมีพื้นที่กว้างขวางขึ้นอย่างมหาศาล
ยุคทองสมัยหลวงพ่อเหลือ
ดเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุดในสมัยของ พระครูนันทธีราจารย์ (หลวงพ่อเหลือ นันทสาโร) ซึ่งดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๗๔ ท่านได้พัฒนาวัดในทุกๆ ด้าน จนเป็นที่รู้จักและเคารพศรัทธาไปทั่ว
- ท่านได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งสำคัญทางสงฆ์มากมาย เช่น เจ้าคณะตำบล และพระอุปัชฌาย์
- ริเริ่มจัด งานสมโภชปิดทองรอยพระพุทธบาทจำลอง ประจำปีในช่วงเดือน ๔ ซึ่งกลายเป็นประเพณีสำคัญที่ดึงดูดสาธุชนจำนวนมากมายังวัด
- ส่งเสริมการศึกษาพระธรรมวินัยและสร้างโรงเรียนประชาบาลให้แก่ชุมชน
หลวงพ่อเหลือมรณภาพลงอย่างสงบในปี พ.ศ. ๒๔๘๘ สิริอายุ ๘๒ ปี นับเป็นยุคที่วัดสาวชะโงกได้รับการพัฒนาและเป็นที่รู้จักมากที่สุด
การสืบสานสู่ปัจจุบัน
หลังจากสิ้นยุคของหลวงพ่อเหลือ วัดยังคงได้รับการดูแลและพัฒนาโดยเจ้าอาวาสองค์ต่อๆ มาอย่างไม่หยุดยั้ง โดยเฉพาะในสมัยของ พระครูถาวรธรรมานุวัตร (หลวงพ่อจวน ฐิตสาโร) ซึ่งดำรงตำแหน่งตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๙๒ ท่านได้สร้างคุณประโยชน์แก่วัดไว้อย่างมากมาย เช่น
- ก่อสร้างและบูรณะเสนาสนะต่างๆ เช่น กุฏิสงฆ์ทรงไทย ศาลาการเปรียญ และฌาปนสถาน
- พัฒนาเส้นทางคมนาคมเพื่อให้การเดินทางมายังวัดสะดวกสบายยิ่งขึ้น
- สร้างพระอุโบสถหลังใหม่ ซึ่งแล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๕๑๔ และจัดงานผูกพัทธสีมาฝังลูกนิมิตอย่างยิ่งใหญ่ในปี พ.ศ. ๒๕๒๐
จวบจนปัจจุบัน ภายใต้การดูแลของ พระครูนันทธรรมานุวัตร เจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน วัดสาวชะโงกยังคงได้รับการทำนุบำรุงศาสนสถานที่ชำรุดทรุดโทรมให้กลับมางดงามสมบูรณ์ เพื่อสืบทอดเจตนารมณ์และพระพุทธศาสนาให้คงอยู่คู่ชุมชนบางคล้าและจังหวัดฉะเชิงเทราสืบไป
รายนามเจ้าอาวาส
๑. พระอธิการสังข์ พ.ศ. ๒๓๕๖-๒๓๙๖ 2356–2396
๒. พระอธิการขิก พ.ศ. ๒๓๙๖-๒๔๕๑ 2396–2451
๓. พระอธิการแบน พ.ศ. ๒๔๕๑-๒๔๖๐ 2451–2460
๔. พระอธิการชื่น พ.ศ. ๒๔๖๐-๒๔๗๔ 2460–2474
๕. พระครูนันทธีราจารย์ (หลวงพ่อเหลือ) พ.ศ. ๒๔๗๔-๒๔๘๘ 2474–2488
๖. พระอธิการหงวน พ.ศ. ๒๔๘๘-๒๔๙๐ 2488–2490
๗. พระอธิการช้วน (รักษาการ) พ.ศ. ๒๔๙๐-๒๔๙๒
๘. พระครูถาวรธรรมานุวัตร (จวน) พ.ศ. ๒๔๙๒-๒๕๔๗
๙. พระอธิการประเสริฐ ปัญญาวโร พ.ศ. ๒๕๔๘-๒๕๕๓ 2548–2553
๑๐. พระอธิการธีรศักดิ์ ฐาตุกาโม พ.ศ. ๒๕๕๔ ถึงปัจจุบัน


ป้ายวัดสาวชะโงก ทำด้วยไม้ ตัวหนังสือสแตนเลส เคลือบด้วยทอง

รูปหล่อพระครูธรรมธีราจารย์ (หลวงพ่อเหลือ)
ประวัติและคุณูปการ พระครูนันทธีราจารย์ (หลวงพ่อเหลือ รุ่งสะอาด) อดีตเจ้าอาวาสวัดสาวชะโงก จังหวัดฉะเชิงเทรา
พระครูนันทธีราจารย์ หรือที่รู้จักกันในนาม “หลวงพ่อเหลือ” แห่งวัดสาวชะโงก เป็นพระเกจิอาจารย์ผู้เปี่ยมด้วยเมตตาและเป็นศูนย์รวมศรัทธาของชาวฉะเชิงเทราและพุทธศาสนิกชนทั่วไป ประวัติชีวิตและผลงานของท่านเป็นที่จดจำและกล่าวขานสืบมาจนถึงปัจจุบัน
ประวัติเบื้องต้น
นามเดิม: เหลือ
นามสกุล: รุ่งสะอาด
วันเกิด: วันพุธที่ ๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๐๕ (ขึ้น ๑๓ ค่ำ เดือน ๘ ปีจอ)
สถานที่เกิด: หมู่ที่ ๒ ตำบลบางเล่า อำเภอบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรา
บิดา-มารดา: นายนุ่ง และ นางเพชร รุ่งสะอาด
พี่น้อง: ท่านเป็นบุตรคนที่ ๕ ในจำนวนพี่น้องร่วมบิดามารดาทั้งหมด ๗ คน ได้แก่
๑. กำนันทอง รุ่งสะอาด
๒. ผู้ใหญ่เงิน รุ่งสะอาด
๓. นางนาค รุ่งสะอาด
๔. นางมนต์ รุ่งสะอาด
๕. พระครูนันทธีราจารย์ (เหลือ)
๖. นายสา รุ่งสะอาด
๗. นายปุ้ย รุ่งสะอาด
การเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์
ในวัยเยาว์ หลวงพ่อเหลือมีอุปนิสัยขยันขันแข็งและรักในศักดิ์ศรีของวงศ์ตระกูล เป็นที่รักใคร่ของบิดามารดาและญาติพี่น้องทุกคน เมื่ออายุครบวัยเบญจเพส ครอบครัวจึงเห็นสมควรให้ท่านได้อุปสมบทเพื่อทดแทนคุณบิดามารดา ณ วัดสาวชะโงก
การเดินทางเพื่อเข้าพิธีอุปสมบทของท่านนั้นเป็นไปอย่างเรียบง่าย มีเพียงเรือพายและญาติผู้ใหญ่ร่วมเดินทาง ทว่าระหว่างทางได้เกิดเหตุการณ์อันเป็นที่จดจำ เมื่อศัตรูเก่าในวัยหนุ่มได้ตะโกนท้าทายให้หยุดเรือเพื่อสะสางเรื่องกันก่อน ด้วยความเด็ดเดี่ยว ท่านซึ่งเตรียมตะพดคู่ใจมาด้วยได้สั่งให้คนพายหันหัวเรือเข้าไปเผชิญหน้า แต่ญาติผู้ใหญ่ได้ห้ามปรามไว้และเร่งพายเรือไปให้ถึงวัดโดยเร็ว ด้วยบุญบารมีจึงทำให้ท่านเดินทางถึงที่หมายโดยสวัสดิภาพ
นายเหลือ รุ่งสะอาด ได้เข้าพิธีอุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดสาวชะโงก เมื่อวันศุกร์ที่ ๑๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๒๘ (ขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๔ ปีระกา) โดยมี
- พระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์คง วัดใหม่บางคล้า
- พระกรรมวาจาจารย์ พระอธิการขิก วัดสาวชะโงก
- พระอนุสาวนาจารย์ พระอาจารย์โต วัดสาวชะโงก
ท่านได้รับฉายาทางธรรมว่า “นนฺทสาโร” (นันทสาโร)
การศึกษาพุทธาคม
หลังจากอุปสมบท หลวงพ่อเหลือได้มุ่งมั่นศึกษาพระธรรมวินัย ภาษาขอม และวิปัสสนากัมมัฏฐานจาก พระอธิการขิก จนแตกฉาน จากนั้นท่านได้ออกธุดงค์เพื่อแสวงหาความรู้เพิ่มเติม โดยได้ฝากตัวเป็นศิษย์กับพระเกจิอาจารย์ชื่อดังหลายท่าน อาทิ
- หลวงพ่อดำ วัดกุฎี จ.ปราจีนบุรี เรียนรู้วิชาการสร้างปลัดขิก
- หลวงปู่ยิ้ม วัดหนองบัว จ.กาญจนบุรี เรียนรู้วิชาการทำตะกรุดและพระปิดตา
นอกจากนี้ ท่านยังได้แลกเปลี่ยนวิชากับสหธรรมิกที่ใกล้ชิดหลายรูป เช่น:
- หลวงพ่อนก วัดสังกะสี จ.สมุทรปราการ: ท่านได้มอบวิชาการทำปลัดขิกให้แก่หลวงพ่อนก และได้รับวิชาการสร้าง “เสือ” อันเลื่องชื่อของสายวัดคลองด่านเป็นการตอบแทน
- ท่านยังมีความสัมพันธ์อันดีและไปมาหาสู่กับพระเกจิอาจารย์ระดับแนวหน้าของเมืองไทยในยุคนั้นอยู่เสมอ เช่น หลวงพ่อจาด วัดบางกระเบา, หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก, หลวงพ่อคง วัดบางกะพ้อม และ หลวงพ่ออี๋ วัดสัตหีบ
ตำแหน่งและสมณศักดิ์
ตลอดชีวิตในสมณเพศ หลวงพ่อเหลือได้รับความไว้วางใจให้ดำรงตำแหน่งสำคัญต่างๆ ดังนี้:
- พ.ศ. ๒๔๖๑ ได้รับการแต่งตั้งเป็น รองเจ้าอาวาสวัดสาวชะโงก
- พ.ศ. ๒๔๗๔ ได้รับการแต่งตั้งเป็น เจ้าอาวาสวัดสาวชะโงก
- พ.ศ. ๒๔๘๑ ได้รับการแต่งตั้งเป็น เจ้าคณะตำบลบางสวน และ พระระงับอธิกรณ์
- พ.ศ. ๒๔๘๓ ได้รับการแต่งตั้งเป็น พระอุปัชฌาย์
คุณูปการด้านสาธารณประโยชน์
หลวงพ่อเหลือได้สร้างคุณประโยชน์ไว้แก่พระพุทธศาสนาและสังคมไว้อย่างอเนกอนันต์ ทั้งในวัดสาวชะโงกและวัดวาอารามอื่นๆ อีกมากมาย ผลงานที่สำคัญของท่านมีดังนี้
การพัฒนาวัดสาวชะโงก
- พ.ศ. ๒๔๔๘ ร่วมกับพระอธิการขิก ซื้อที่ดินราคา ๔๐ บาท เพื่อสร้าง มณฑป ประดิษฐานรอยพระพุทธบาทจำลอง
- พ.ศ. ๒๔๕๐ สร้าง หอสวดมนต์หลังใหญ่
- พ.ศ. ๒๔๖๒ สร้าง ศาลาการเปรียญหลังใหญ่
- พ.ศ. ๒๔๖๓ ริเริ่มให้ใช้ศาลาการเปรียญเป็น สถานที่เรียนหนังสือ สำหรับเด็กๆ ในชุมชน
- พ.ศ. ๒๔๖๕ สร้าง โรงเรียนรูปทรงมะนิลา ๒ ชั้น บริเวณริมคลองหลอดข้างวัด
- พ.ศ. ๒๔๘๕ สร้าง โรงเรียนประชาบาลแบบ ป.๒ ของกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งต่อมาได้รับชื่อว่า “โรงเรียนวัดสาวชะโงก (นันทประชาสรรค์)” และเป็นถาวรวัตถุชิ้นสุดท้ายที่ท่านได้สร้างไว้
การอุปถัมภ์วัดอื่นๆ (ร่วมสร้างอุโบสถและจัดงานผูกพัทธสีมา)
หลวงพ่อเหลือเป็นกำลังสำคัญในการอุปถัมภ์การก่อสร้างอุโบสถและการจัดงานผูกพัทธสีมาให้แก่วัดต่างๆ จำนวนมาก ทั้งในจังหวัดฉะเชิงเทราและจังหวัดใกล้เคียง ได้แก่
- พ.ศ. ๒๔๖๑ วัดก้อนแก้ว จ.ฉะเชิงเทรา
- พ.ศ. ๒๔๖๙ วัดราษฎร์ศรัทธาธรรม (วัดสิบเอ็ดศอก) จ.ฉะเชิงเทรา
- พ.ศ. ๒๔๗๐-๒๔๗๑: จัดหล่อและแห่พระประธานทางเรือจากวัดสาวชะโงกไปประดิษฐาน ณ วัดราษฎร์ศรัทธาธรรม
- พ.ศ. ๒๔๗๒ วัดปากด่าน (ด่านเงิน) จ.ฉะเชิงเทรา
- พ.ศ. ๒๔๗๓ วัดหัวสวน จ.ฉะเชิงเทรา
- พ.ศ. ๒๔๗๔ วัดหด จ.ฉะเชิงเทรา
- พ.ศ. ๒๔๗๕ วัดเสม็ดใต้ จ.ฉะเชิงเทรา
- พ.ศ. ๒๔๗๗ วัดประตูน้ำท่าไข่ จ.ฉะเชิงเทรา
- พ.ศ. ๒๔๗๘ วัดวังเย็น จ.ฉะเชิงเทรา
- พ.ศ. ๒๔๗๙ วัดปากคลองหก (วัดรอยกระจ่างศรี) จ.นครนายก
- พ.ศ. ๒๔๘๒ วัดแสงพุ่ม จ.ฉะเชิงเทรา
หมายเหตุ ชื่อสถานที่บางแห่งอาจมีการเปลี่ยนแปลงไปจากอดีต วิธีการของหลวงพ่อเหลือในการอุปถัมภ์นั้น ท่านมักจะสร้างอุโบสถขึ้นก่อน จากนั้นจึงจัดงานผูกพัทธสีมา และหากอุโบสถยังไม่แล้วเสร็จสมบูรณ์ ท่านก็จะเมตตาติดตามดูแลจนสำเร็จลุล่วงทุกวัดไป
การมรณภาพ
หลวงพ่อเหลือ นนฺทสาโร ได้ถึงแก่มรณภาพอย่างสงบด้วยโรคชรา เมื่อวันศุกร์ที่ ๑๙ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๘ (ขึ้น ๗ ค่ำ เดือน ๗ ปีระกา) เวลาประมาณ ๐๔:๐๐ น สิริอายุรวม ๘๒ ปี พรรษาที่ ๖๒ การจากไปของท่านสร้างความเศร้าโศกเสียใจให้แก่ศิษยานุศิษย์และผู้ที่เคารพศรัทธาเป็นอย่างยิ่ง แม้ท่านจะละสังขารไปนานแล้ว แต่นามและความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อเหลือและวัตถุมงคลของท่านยังคงเป็นที่กล่าวขานและเป็นที่ศรัทธามาจนถึงปัจจุบัน โดยทางวัดได้จัดสร้างเจดีย์เพื่อบรรจุอัฐิของท่านไว้เป็นอนุสรณ์สถานให้ประชาชนได้กราบไหว้บูชาสืบไป

วิหารพระครูธรรมธีราจารย์ (หลวงพ่อเหลือ)

ศาลาทรงไทย วัดสาวชะโงก

จุดบูชาดอกไม้ธูปเทียนทอง

จุดบูชาขอพรขอบารมี


ปลัดขิกทำด้วยไม้ขนาดใหญ่

จุดบูชาดอกไม้ธูปเทียนทอง หน้าวิหาร อนุสรณ์หลวงพ่อเหลือ

สถานที่ จุดธุปเทียนบูชาหลวงพ่อเหลือและอดีตเจ้าอาวาสวัดสาวชะโงก ด้านหน้า วิหาร อนุสรณ์หลวงพ่อเหลือ

ภายในวิหาร อนุสรณ์หลวงพ่อเหลือและอดีตเจ้าอาวาสวัดสาวชะโงก

รูปภาพหลวงพ่อเหลือ จัดทำขึ้นเพื่อให้สาธุชนได้นำไปบูชา รูปละ ๒๐๐ บาท

จุดเสี่ยงเซียมซี ดูดวงชะตาชีวิต ใน วิหาร อนุสรณ์หลวงพ่อเหลือ
ไขข้อข้องใจ “เซียมซี” ประวัติศาสตร์แห่งคำทำนายและความเชื่อที่หยั่งรากลึก
จากภาพการเสี่ยงเซียมซีที่เห็นอยู่นี้ สะท้อนให้เห็นถึงหนึ่งในวัฒนธรรมความเชื่อที่ผูกพันกับคนไทยและชาวเอเชียมาอย่างยาวนาน การเสี่ยงเซียมซีไม่ได้เป็นเพียงการสุ่มหาตัวเลข แต่มีประวัติความเป็นมาและเหตุผลเบื้องหลังที่น่าสนใจยิ่ง
ประวัติความเป็นมาของเซียมซี
ต้นกำเนิดจากจีนโบราณ: การเสี่ยงทายด้วยไม้ติ้ว หรือที่คนไทยเรียกว่า “เซียมซี” (ในภาษาจีนเรียกว่า “Kau Chim” หรือ “Chien Tung”) เป็นการทำนายโชคชะตาที่มีต้นกำเนิดในประเทศจีนมาไม่ต่ำกว่า ๑,๐๐๐ ปี สันนิษฐานว่าเริ่มมีขึ้นตั้งแต่สมัยราชวงศ์จิ้น (ราวคริสต์ศตวรรษที่ 3) และเป็นที่แพร่หลายในวัดพุทธและศาลเจ้าของลัทธิเต๋า
การเข้ามาในประเทศไทย: วัฒนธรรมการเสี่ยงเซียมซีได้เผยแพร่เข้ามาในประเทศไทยพร้อมกับชาวจีนที่อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานและทำการค้า โดยในยุคแรกคำทำนายยังคงเป็นภาษาจีน ทำให้ต้องมีผู้รู้ภาษาคอยแปลให้ ต่อมาในสมัยรัตนโกสินทร์ ช่วงรัชกาลที่ ๕ ได้มีการบันทึกไว้ว่า นายเปลี่ยน แซ่ซ้อง ได้ทำการแปลความหมายของเซียมซีจากภาษาจีนเป็นภาษาไทยในรูปแบบของบทร้อยกรองเป็นครั้งแรกที่วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร เพื่อให้คนไทยสามารถเข้าใจคำทำนายได้ง่ายขึ้น ตั้งแต่นั้นมา เซียมซีภาษาไทยจึงเป็นที่แพร่หลายไปตามวัดและศาลเจ้าต่างๆ ทั่วประเทศ
ที่มาของคำว่า “เซียมซี”: คำว่า “เซียมซี” นั้นมีการสันนิษฐานถึงที่มาแตกต่างกันไป บ้างก็ว่า “เซียม” หมายถึง ไม้ติ้วสำหรับเสี่ยงทาย และ “ซี” หมายถึง บทกลอนหรือโคลง เมื่อรวมกันจึงหมายถึง “บทกลอนคำทำนายบนไม้ติ้ว” อีกทางหนึ่งเชื่อว่าอาจเพี้ยนมาจากคำว่า “เซียนซือ” (Xian Shi) ซึ่งแปลว่า “ผู้ทรงอิทธิฤทธิ์” หรือ “คำสอนของเซียน” สื่อถึงคำชี้แนะจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ทำไมผู้คนถึงเสี่ยงเซียมซี
การเสี่ยงเซียมซีเป็นมากกว่าการเสี่ยงโชค แต่เป็นกระบวนการที่ตอบสนองต่อความต้องการทางจิตใจและจิตวิญญาณของผู้คนในหลายมิติ ดังนี้
- เพื่อเป็นแนวทางในการตัดสินใจ: ในยามที่ชีวิตเผชิญกับความไม่แน่นอน ทางเลือก หรือปัญหาที่หาทางออกไม่ได้ ผู้คนมักหันหน้าเข้าหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อขอคำชี้แนะ การเสี่ยงเซียมซีจึงเปรียบเสมือนการได้รับ “คำปรึกษา” จากเบื้องบน เพื่อให้มีแนวทางในการตัดสินใจเรื่องต่างๆ ในชีวิต เช่น การงาน การเงิน ความรัก หรือสุขภาพ
- เพื่อความสบายใจและเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ: การได้อ่านคำทำนาย ไม่ว่าจะดีหรือร้าย ก็สามารถสร้างความรู้สึกสบายใจได้ในระดับหนึ่ง หากได้ใบที่ดีก็ถือเป็นกำลังใจและสิริมงคล แต่หากได้ใบที่ไม่ดี ก็จะได้รับคำแนะนำให้ใช้ชีวิตด้วยความไม่ประมาท และมักมีวิธีแก้เคล็ด เช่น การทำบุญ หรือการนำใบเซียมซีที่ไม่ดีไปผูกไว้ที่วัดเพื่อเป็นการฝากเคราะห์ร้ายไว้
- เพื่อหยั่งรู้อนาคตและเตรียมพร้อมรับมือ: แม้จะเป็นความเชื่อส่วนบุคคล แต่หลายคนก็เชื่อว่าเซียมซีสามารถบอกกล่าวถึงเหตุการณ์ในอนาคตได้ การเสี่ยงทายจึงเป็นการเตรียมความพร้อมรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น
- สืบสานวัฒนธรรมและความเชื่อ: การเสี่ยงเซียมซีเป็นส่วนหนึ่งของประเพณีและวัฒนธรรมที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น การเข้าไปเสี่ยงเซียมซีในวัดหรือศาลเจ้าจึงเป็นการมีส่วนร่วมและสืบสานวัฒนธรรมอันดีงามนี้ต่อไป
โดยสรุปแล้ว การเสี่ยงเซียมซีคือการผสมผสานระหว่างความเชื่อทางศาสนา วัฒนธรรม และจิตวิทยา ที่ช่วยให้ผู้คนสามารถรับมือกับความไม่แน่นอนของชีวิต เป็นทั้งที่พึ่งทางใจและเครื่องเตือนสติให้ดำเนินชีวิตไปในทางที่ดีงามนั่นเอง
วิธีการเสี่ยงเซียมซีโดยทั่วไปมีขั้นตอนง่ายๆ ดังนี้
๑. ตั้งจิตอธิษฐาน
เริ่มต้นด้วยการคุกเข่าหรือนั่งพับเพียบหน้าองค์พระหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในวัดหรือศาลเจ้านั้นๆ พร้อมหยิบกระบอกเซียมซีขึ้นมาถือไว้ในระดับอก หลับตาและตั้งจิตให้เป็นสมาธิ จากนั้นอธิษฐานบอกชื่อ-นามสกุล วันเดือนปีเกิด และเรื่องที่ต้องการถามหรือขอคำชี้แนะ ควรถามเป็นเรื่องๆ ไป ทีละคำถาม เพื่อให้ได้คำทำนายที่แม่นยำ
๒.เขย่ากระบอกเซียมซี
หลังจากอธิษฐานเสร็จ ให้เริ่มเขย่ากระบอกเซียมซีโดยเอียงกระบอกทำมุมเล็กน้อย แล้วเขย่าขึ้นลงเบาๆ หรือหมุนวนจนกว่าจะมีไม้ติ้วเพียง ๑ อัน ตกลงมา หากมีไม้ติ้วตกลงมามากกว่า ๑ อัน ให้เก็บไม้ทั้งหมดใส่กระบอกแล้วเริ่มต้นอธิษฐานและเขย่าใหม่
๓. หยิบไม้ติ้วและอ่านใบทำนาย
เมื่อได้ไม้ติ้วมาแล้ว ให้ดูหมายเลขที่อยู่บนไม้ติ้ว จากนั้นไปหยิบใบคำทำนายตามหมายเลขนั้น ซึ่งมักจะเสียบอยู่ในแผงใกล้ๆ กัน คำทำนายส่วนใหญ่มักจะเป็นบทร้อยกรองที่ให้ทั้งคำพยากรณ์และข้อคิดเตือนใจ
ความเชื่อเพิ่มเติม
- การยืนยันคำทำนายด้วย “ไม้ปวย” (ถ้ามี): ในศาลเจ้าบางแห่ง โดยเฉพาะศาลเจ้าจีน จะมี “ไม้ปวย” หรือ “ไม้เสี่ยงทาย” ลักษณะคล้ายเมล็ดถั่วผ่าครึ่ง ๒ ชิ้น หลังจากได้ไม้ติ้วแล้ว จะต้องโยนไม้ปวยเพื่อถามสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่าใช่คำทำนายที่ถูกต้องหรือไม่ หากไม้ปวยคว่ำอันหงายอัน แสดงว่า “ใช่” สามารถไปรับใบทำนายได้เลย แต่หากคว่ำทั้งคู่หรือหงายทั้งคู่ แสดงว่า “ไม่ใช่” หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยังไม่ตอบ ให้เริ่มต้นเขย่าเซียมซีใหม่อีกครั้ง
- ถ้าได้ใบไม่ดี: ตามความเชื่อ หากได้ใบทำนายที่ไม่ดี ไม่ควรนำกลับบ้าน แต่นิยมนำไปผูกไว้กับต้นไม้หรือในที่ที่วัดจัดไว้ให้ เพื่อเป็นการฝากดวงชะตาที่ไม่ดีนั้นไว้ ไม่ให้ติดตามตัวไป
- ถ้าได้ใบดี: หากได้ใบทำนายที่ดี สามารถนำกลับไปเก็บไว้ที่บ้านเพื่อเป็นสิริมงคลและเป็นเครื่องเตือนใจได้ครับ

ดรวมพระพุทธรูปเก่าแก่ ภายในวิหาร อนุสรณ์หลวงพ่อเหลือ

จุดทำบุญตักบาตรพระประจำวันเกิด ภายในวิหารอนุสรณ์หลวงพ่อเหลือ

จุดบูชาวัตถุมงคล ภายในวิหารอนุสรณ์หลวงพ่อเหลือ

พิพิธภัณฑ์เก็บวัตถุมงค์และของเก่า ภายในวิหารอนุสรณ์หลวงพ่อเหลือ

เรืองหอเจ้าสาว

เจ้าสาว

บ้านสาวชะโงก



ศาลแม่เฒ่าทำด้วยไม้ตะเคียนที่ลอยน้ำมา

จุดพักผ่อนริมน้ำบางปะกง

ศาลาชมบรรยากาศริมฝั่งแม่น้ำบางปะกง

มณฑปรอยพระพุทธบาท
มณฑปรอยพระพุทธบาท
มณฑปเก่าแก่แห่งวัดสาวชะโงกหลังนี้ มีประวัติความเป็นมาอันยาวนาน โดยได้รับการสร้างขึ้นในสมัยที่พระอธิการขิกดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส ด้วยวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นที่ประดิษฐานรอยพระพุทธบาทจำลอง ถวายเป็นพุทธบูชาแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
รอยพระพุทธบาทจำลององค์นี้หล่อขึ้นจากทองสัมฤทธิ์ ลงรักปิดทองอย่างวิจิตรงดงาม โดดเด่นด้วยพุทธศิลปะสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น มีอายุนับร้อยปี ตัวมณฑปสร้างสรรค์ขึ้นโดยช่างฝีมือชาวบ้านตามแบบโบราณ มีความสง่างามทั้งภายนอกและภายใน การก่อสร้างแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2448 จากนั้นพระอธิการขิกจึงได้ประกอบพิธีอัญเชิญรอยพระพุทธบาทแห่เวียนทักษิณารอบมณฑป 3 รอบ ก่อนนำขึ้นประดิษฐานเป็นการถาวร
กาลเวลาล่วงเลยมาถึงปี พ.ศ. ๒๔๕๑ พระอธิการขิกได้มรณภาพลง ทำให้มณฑปและรอยพระพุทธบาทขาดการดูแลจนทรุดโทรมไปตามกาลเวลา จนกระทั่งปี พ.ศ. ๒๔๗๔ เมื่อพระครูนันทธีราจารย์ (หลวงพ่อเหลือ) ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาส ท่านจึงได้ฟื้นฟูประเพณีการจัดงานสมโภชรอยพระพุทธบาทและงานประเพณีกลางเดือน ๔ ขึ้นมาอีกครั้งในปี พ.ศ. ๒๔๗๕
ต่อมาในสมัยของพระครูถาวรธรรมานุวัฒน์ มณฑปมีสภาพชำรุดทรุดโทรมอย่างหนัก เพื่อความปลอดภัยจึงได้อัญเชิญรอยพระพุทธบาทจำลองไปประดิษฐานไว้ ณ วิหารหลวงพ่อเหลือเป็นการชั่วคราว
จวบจนปัจจุบัน ในสมัยของ พระครูนันทธีรานุวัตร ฐาตุกาโม เจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน ท่านได้เล็งเห็นคุณค่าทางศิลปะของมณฑปโบราณหลังนี้ แม้จะชำรุดแต่ยังคงไว้ซึ่งความงดงามอันเป็นเอกลักษณ์ สมควรค่าแก่การอนุรักษ์ไว้ให้อนุชนรุ่นหลังได้ศึกษา ท่านจึงมีดำริให้ดำเนินการบูรณปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ จนมณฑปกลับคืนสู่ความสง่างามดังเดิม
จากนั้นจึงได้ประกอบพิธีมหามงคลตามแบบแผนโบราณประเพณีอย่างครบถ้วน เพื่ออัญเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์กลับคืนสู่มณฑปอีกครั้ง ดังนี้
- วันอาทิตย์ที่ ๑๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๕ (ขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๑๒) ได้อัญเชิญ รอยพระพุทธบาทจำลอง และ พระพุทธรูปปางมารวิชัยเนื้อทองสัมฤทธิ์ สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น กลับมาประดิษฐาน ณ มณฑปแห่งนี้ตามเดิม
- วันอังคารที่ ๒๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๖ (ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๔) ได้อัญเชิญ พระอรหันตธาตุ เข้าประดิษฐานเพิ่มเติม เพื่อเพิ่มพูนความเป็นสิริมงคลสูงสุดแก่มณฑปสืบไป

พระประธานในมณฑปรอยพระพุทธบาท
พระพุทธรูปประธานปางมารวิชัย
ประวัติและความสำคัญ
พระพุทธรูปองค์นี้เป็นพระพุทธรูปเก่าแก่ที่มีความสำคัญควบคู่มากับรอยพระพุทธบาทจำลอง มีลักษณะทางพุทธศิลป์ดังนี้
- พุทธลักษณะ: เป็นพระพุทธรูป ปางมารวิชัย หรือ ปางชนะมาร อยู่ในพระอิริยาบถประทับนั่งขัดสมาธิ พระหัตถ์ซ้ายหงายวางบนพระเพลา (หน้าตัก) พระหัตถ์ขวาวางคว่ำลงที่พระชานุ (เข่า) นิ้วพระหัตถ์ชี้ลงสู่พื้นธรณี เป็นสัญลักษณ์แห่งการระลึกถึงพระแม่ธรณีมาเป็นพยานในการบำเพ็ญบารมีของพระองค์จนเอาชนะพญามารได้สำเร็จในวันตรัสรู้
- วัสดุและศิลปะ: องค์พระหล่อด้วย เนื้อทองสัมฤทธิ์ ตามแบบฉบับ ศิลปะรัตนโกสินทร์ตอนต้น มีความงดงามและทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์
- ความเป็นมา: พระพุทธรูปองค์นี้ได้ถูกอัญเชิญกลับมาประดิษฐาน ณ มณฑปแห่งนี้อีกครั้ง พร้อมกับรอยพระพุทธบาทจำลอง ในคราวที่มีการบูรณปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ โดย พระครูนันทธีรานุวัตร ฐาตุกาโม เจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน ได้ประกอบพิธีอัญเชิญอย่างสมเกียรติเมื่อวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๕
ปัจจุบัน องค์พระประธานนี้เป็นศูนย์รวมใจให้ผู้มาเยือนได้กราบสักการะบูชาควบคู่กับรอยพระพุทธบาท ร่องรอยของแผ่นทองคำเปลวที่ปิดอยู่ทั่วองค์พระแสดงถึงพลังศรัทธาของสาธุชนที่มีต่อวัดสาวชะโงกสืบมา


รอยพระพุทธบาท ในวิหารรอยพระพุทธบาท
ประวัติรอยพระพุทธบาทจำลอง วัดสาวชะโงก
รอยพระพุทธบาทจำลองที่เห็นในภาพนี้ ถูกสร้างขึ้นในสมัยที่ พระอธิการขิก ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดสาวชะโงก โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา และเป็นศูนย์รวมแห่งความศรัทธาให้แก่พุทธศาสนิกชนได้กราบไหว้สักการะ
ลักษณะทางพุทธศิลป์
- วัสดุ: หล่อขึ้นจาก ทองสัมฤทธิ์ ซึ่งเป็นโลหะมงคลตามความเชื่อโบราณ
- ศิลปะ: เป็นผลงานพุทธศิลป์ที่งดงามตามแบบฉบับ สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น มีความประณีตและเป็นเอกลักษณ์
- อายุ: มีอายุกว่า ๑๐๐ ปี ทำให้เป็นโบราณวัตถุที่
ความเป็นมาและการประดิษฐาน
- การสร้างมณฑป: พระอธิการขิกได้ดำริให้สร้างมณฑปขึ้นโดยเฉพาะ เพื่อเป็นที่ประดิษฐานรอยพระพุทธบาทจำลององค์นี้
- พิธีประดิษฐานครั้งแรก: เมื่อมณฑปสร้างแล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๔๔๘ ได้มีการจัดพิธีอัญเชิญรอยพระพุทธบาทแห่รอบมณฑป 3 รอบอย่างสมเกียรติ ก่อนจะนำขึ้นประดิษฐานเป็นการถาวร
- การย้ายเพื่อบูรณะ: ในยุคสมัยต่อมาที่มณฑปมีสภาพชำรุดทรุดโทรมอย่างหนัก เพื่อความปลอดภัยจึงได้มีการอัญเชิญรอยพระพุทธบาทไปประดิษฐานไว้ที่วิหารหลวงพ่อเหลือเป็นการชั่วคราว
- การกลับคืนสู่มณฑป: ในสมัยของ พระครูนันทธีรานุวัตร ฐาตุกาโม เจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน ท่านได้เป็นผู้นำในการบูรณะมณฑปจนกลับมาสง่างามดังเดิม และได้ประกอบพิธีอัญเชิญรอยพระพุทธบาทจำลององค์นี้ พร้อมด้วยพระพุทธรูปปางมารวิชัย กลับมาประดิษฐาน ณ มณฑปแห่งเดิมอีกครั้งในวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๕2555
ปัจจุบัน รอยพระพุทธบาทจำลององค์นี้ถือเป็นหนึ่งในปูชนียวัตถุสำคัญสูงสุดของวัดสาวชะโงก เป็นที่เคารพศรัทธาของสาธุชนจากทั่วทุกสารทิศ ดังจะเห็นได้จากแผ่นทองคำเปลวและเหรียญเงินที่พุทธศาสนิกชนนำมาถวายบูชาด้วยความเลื่อมใสศรัทธาอย่างไม่ขาดสาย



ภาพจิตกรรมบนฝาผนัง ภายในมณฑปรอยพระพุทธบาท
ภาพรวมจิตรกรรมฝาผนัง: การเฉลิมฉลองแห่งศรัทธาที่ก้องไกลถึงสรวงสวรรค์
จิตรกรรมฝาผนังชุดนี้สามารถแบ่งการตีความได้เป็น ๒ ส่วนหลัก คือ “โลกมนุษย์” ที่เต็มไปด้วยการประกอบคุณงามความดี และ “สรวงสวรรค์” ที่เหล่าทวยเทพต่างร่วมอนุโมทนาบุญ
๑. ภาพโลกมนุษย์: ศูนย์รวมแห่งศรัทธาและการทำบุญครั้งใหญ่
ภาพส่วนล่างนี้เป็นหัวใจของเรื่องราวทั้งหมด โดยจำลองบรรยากาศ งานบุญประเพณีครั้งสำคัญของวัดสาวชะโงก ขึ้นมาอย่างมีชีวิตชีวา ประกอบด้วย
- ภาพจำลองวัดสาวชะโงก: มีการวาดภาพศาสนสถานสำคัญต่างๆ ของวัด เช่น มณฑป เจดีย์ ศาลา และหมู่กุฏิ ท่ามกลางบรรยากาศอันร่มรื่นของต้นไม้ โดยเฉพาะต้นมะพร้าว ซึ่งสะท้อนถึงภูมิทัศน์ของเมืองแปดริ้วในอดีต
- พุทธศาสนิกชน: แสดงภาพชาวบ้านทั้งชายและหญิงจำนวนมาก แต่งกายด้วยชุดไทยสวยงาม กำลังหลั่งไหลเข้ามาร่วมงานบุญใหญ่ มีทั้งขบวนแห่ การนั่งฟังธรรม และการประกอบพิธีกรรมต่างๆ แสดงถึงความศรัทธาและความสามัคคีของชุมชน
- พระภิกษุสงฆ์: มีภาพพระสงฆ์กำลังประกอบศาสนกิจ เป็นเนื้อนาบุญและเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณให้กับชาวบ้าน
- การผสมผสานศิลปะกับของจริง: จุดเด่นพิเศษของจิตรกรรมฝาผนังที่นี่ คือการสร้าง “ซุ้มเรือนแก้ว” สีทองนูนขึ้นมาจากฝาผนังจริง และได้อัญเชิญพระเครื่องหรือวัตถุมงคลขนาดเล็กมาประดิษฐานไว้ภายใน เป็นการผสานโลกของจิตรกรรมเข้ากับปูชนียวัตถุของจริงได้อย่างน่าอัศจรรย์
ภาพส่วนนี้จึงเปรียบเสมือนบันทึกทางประวัติศาสตร์เชิงศิลป์ ที่บอกเล่าถึงความรุ่งเรืองและความเป็นศูนย์รวมใจของวัดสาวชะโงกได้เป็นอย่างดี
๒. ภาพสรวงสวรรค์: ทวยเทพอำนวยพรและร่วมอนุโมทนา
ภาพส่วนบนซึ่งอยู่เหนือภาพโลกมนุษย์ขึ้นไป คือดินแดนของ “สรวงสวรรค์” ตามคติไตรภูมิ มีลักษณะดังนี้
- เหล่าทวยเทพและนางฟ้า: จิตรกรได้วาดภาพเทวดาและนางฟ้าจำนวนมาก ประทับอยู่บนก้อนเมฆและในวิมานบนสวรรค์ แต่งกายด้วยเครื่องทรงทิพย์อย่างงดงาม
- การร่วมยินดีในบุญกุศล: เหล่าเทพยดาแสดงกิริยาต่างๆ กันไป บ้างก็ ประนมมือ แสดงความเคารพในบุญกุศลที่เหล่ามนุษย์กระทำ บ้างก็ บรรเลงดนตรีทิพย์ เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองและแซ่ซ้องสรรเสริญในคุณงามความดีนั้น
ตามความเชื่อทางพุทธศาสนา เมื่อมีการทำบุญใหญ่หรือประกอบกุศลกรรมอันยิ่งใหญ่บนโลกมนุษย์ ผลแห่งบุญนั้นจะส่งแรงสั่นสะเทือนไปถึงสวรรค์ชั้นฟ้า ทำให้เหล่าเทวดาต่างรับรู้และร่วมอนุโมทนาสาธุการ
สรุป เมื่อมองภาพรวม จิตรกรรมฝาผนังทั้งสามส่วนนี้ได้ร้อยเรียงกันเป็นเรื่องราวเดียวอย่างสมบูรณ์ กล่าวคือ “เหตุ” เกิดขึ้น ณ โลกมนุษย์ (ภาพล่าง) ที่ชาวบ้านและพระสงฆ์ร่วมใจกันสร้างบุญมหากุศล และ “ผล” ได้ปรากฏขึ้น ณ สรวงสวรรค์ (ภาพบน) ที่เหล่าเทพยดาต่างร่วมเฉลิมฉลองและยินดีในบุญนั้น เป็นการสื่อสารคติธรรมที่ว่า “การทำความดี ย่อมเป็นที่สรรเสริญของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย” ได้อย่างลึกซึ้งและงดงามยิ่ง
