วัดแจ้งบางคล้า สักการะท้าวเวสสุวรรณปางเหยียบหีบสมบัติ เดินชมตลาดน้ำบางคล้าเพลินใจ
ประวัติวัดแจ้งบางคล้า
ประวัติการสร้าง “วัดแจ้ง” มีหลักฐานปรากฏในหนังสือประวัติวัดทั่วราชอาณาจักร เล่ม ๑ จัดทำโดยกรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ ระบุว่าสร้างขึ้นเมื่อปีพุทธศักราช ๒๒๘๕
อย่างไรก็ดี มีตำนานที่ชาวบ้านในพื้นที่เล่าขานสืบต่อกันมาว่า วัดแห่งนี้สร้างขึ้นในสมัยกรุงธนบุรี โดยผูกโยงกับเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ กล่าวคือ เมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ขณะยังทรงดำรงพระยศเป็นสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ได้ทรงยกทัพกลับจากการตีเมืองเขมร เมื่อเสด็จถึงบริเวณนี้เป็นเวลาจวนจะรุ่งสางพอดี จึงมีพระราชดำริให้สร้างวัดขึ้น ณ ที่แห่งนั้น ชาวบ้านจึงขนานนามวัดนี้ว่า “วัดแจ้ง” เพื่อระลึกถึงเหตุการณ์ดังกล่าว

วัดแจ้ง ตั้งอยู่ ณ บ้านเลขที่ ๔๓ ตำบลบางคล้า อำเภอบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรา สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ตัววัดตั้งอยู่บนที่ดินซึ่งมีเนื้อที่ ๑๗ ไร่ ๑ งาน ๒๔ ตารางวา โดยมีอาณาเขตดังนี้
- ทิศเหนือ จดแม่น้ำบางปะกง
- ทิศใต้และทิศตะวันออก จดที่ดินของเอกชน
- ทิศตะวันตก จดคลองสาธารณะ
นอกเหนือจากที่ดินอันเป็นที่ตั้งของวัดแล้ว ยังมีที่ธรณีสงฆ์อีก ๑ แปลง เนื้อที่ ๑๖ ไร่ ๒ งาน

ข้อมูลเกี่ยวกับอุโบสถของวัดแจ้งปรากฏความแตกต่างกันในเอกสารอ้างอิง ๒ ฉบับ ดังนี้
- หนังสือประวัติวัดทั่วราชอาณาจักร เล่ม ๑๙ (กรมการศาสนา) ระบุว่า อุโบสถสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๙ มีขนาดกว้าง ๑๕ เมตร ยาว ๒๗ เมตร
- หนังสืออนุสรณ์งานสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ ๒๐๐ ปี (ทำเนียบวัดและพระสังฆาธิการแห่งแปดริ้ว) ระบุว่า อุโบสถซึ่งได้รับวิสุงคามสีมา สร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๙ มีขนาดกว้าง ๓๐ เมตร ยาว ๔๒ เมตร
เนื่องจากข้อมูลด้านขนาดของอุโบสถจากเอกสารทั้งสองฉบับไม่ตรงกัน ผู้เรียบเรียงจึงยังไม่สามารถสรุปได้ว่าข้อมูลใดถูกต้อง จึงสุดแล้วแต่ดุลยพินิจของผู้อ่านที่จะสืบค้นเพื่อหาข้อเท็จจริงต่อไป หากท่านใดมีหลักฐานที่น่าเชื่อถือเพื่อยืนยันข้อมูลที่ถูกต้อง โปรดแจ้งให้ทราบเพื่อเป็นประโยชน์ในการปรับปรุงข้อมูลให้สมบูรณ์ต่อไป จักเป็นพระคุณอย่างสูง

ข้อมูลเกี่ยวกับหอสวดมนต์ของวัด มีความแตกต่างกันในเอกสารอ้างอิง ๒ ฉบับ
ตาม หนังสือประวัติวัดทั่วราชอาณาจักร เล่ม ๑๙ ระบุว่า หอสวดมนต์กว้าง ๑๘ เมตร ยาว ๑๙.๕ เมตร และสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๙
ในขณะที่ หนังสืออนุสรณ์งานสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ ๒๐๐ ปี (ทำเนียบวัดและพระสังฆาธิการแห่งแปดริ้ว) ให้ข้อมูลว่า หอสวดมนต์กว้าง ๑๘ เมตร ยาว ๒๔ เมตร สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๔ เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก ๒ ชั้น ใช้งบประมาณในการก่อสร้าง ๑,๘๐๐,๐๐๐ บาท
ข้อสังเกต จะเห็นได้ว่าข้อมูลจากเอกสารทั้งสองฉบับมีความคลาดเคลื่อนกันในส่วนของความยาวอาคารและปีที่ก่อสร้าง

อาคารเสนาสนะและสิ่งปลูกสร้างสำคัญ
ศาลาการเปรียญ มีขนาดกว้าง ๑๓.๕ เมตร ยาว ๓๐ เมตร สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๑ โดยมีคุณยายเจียม เงี้ยมอื้อ เป็นผู้ริเริ่มดำเนินการ ต่อมาในราวปี พ.ศ. ๒๕๖๑ ศาลาหลังนี้ได้รับการบูรณะและเคลื่อนย้ายไปยังตำแหน่งปัจจุบันโดย พระมหาปิยบุตร ปญฺญาวฑฺฒโน (ดร.) เจ้าอาวาส
กุฏิสงฆ์ มีจำนวนทั้งสิ้น ๘ หลัง ประกอบด้วยอาคารครึ่งตึกครึ่งไม้ ๖ หลัง และอาคารตึก ๒ หลัง
วิหาร มีขนาดกว้าง ๕.๙๕ เมตร ยาว ๙.๙๐ เมตร สร้างเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๘
เมรุ มีขนาดกว้าง ๑๖ เมตร ยาว ๓๒ เมตร สร้างเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๘ ใช้งบประมาณ ๒๕๐,๐๐๐ บาท (สองแสนห้าหมื่นบาทถ้วน)
สุสาน มีจำนวน ๔ แถว แต่ละแถวกว้าง ๒.๕๐ เมตร ยาว ๑๘ เมตร สร้างเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๙ ใช้งบประมาณ ๖๐,๐๐๐ บาท (หกหมื่นบาทถ้วน)
หอกลอง มีขนาดกว้าง ๓ เมตร ยาว ๓ เมตร สร้างเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๔ ใช้งบประมาณ ๑๐๐,๐๐๐ บาท (หนึ่งแสนบาทถ้วน)
หอระฆัง มีขนาดกว้าง ๓ เมตร ยาว ๓ เมตร สร้างเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๔ ใช้งบประมาณ ๑๐๐,๐๐๐ บาท (หนึ่งแสนบาทถ้วน)
รั้วกำแพง สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๙ ใช้งบประมาณ ๔๐๐,๐๐๐ บาท (สี่แสนบาทถ้วน) ประกอบด้วย:
- ด้านทิศตะวันออก มีความยาว ๒๔๐ เมตร
- ด้านทิศเหนือ มีความยาว ๑๑๔ เมตร
ด้านการศึกษา ทางวัดได้เปิดสอนโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกธรรมมาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๗๓
ทำเนียบเจ้าอาวาสวัดแจ้ง
ทำเนียบเจ้าอาวาสเท่าที่ปรากฏนาม มีดังนี้
๑. พระครูวรปรีชาญาณ (ไม่ปรากฏรายละเอียดประวัติ)
๒. พระครูสุทธรรมรังสี (จตฺตสลฺโล)
๓. พระมหาเคลิ้ม สุนฺทโร (อดีตเจ้าอาวาส, อยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูล)
๔. พระครูปลัดวิมลปริยัติวัฒน์, ดร. (เจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน, อยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูล)
ประวัติ พระครูสุทธรรมรังสี (จตฺตสลฺโล จันทราวัฒน์)
สถานะเดิม
นามเดิม ล้วน จันทราวัฒน์ เกิดเมื่อวันอังคาร เดือน ๙ ปีวอก (ตรงกับเดือนสิงหาคม พ.ศ. ๒๔๕๑) เป็นบุตรของนายโก้โล้และนางลิ้น จันทราวัฒน์ ภูมิลำเนาอยู่บ้านเลขที่ ๐๔ ตำบลบางคล้า อำเภอบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรา
การอุปสมบท
เข้าพิธีอุปสมบทเมื่อวันขึ้น ๑๑ ค่ำ เดือน ๘ ปีมะโรง (ตรงกับวันที่ ๑๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๑) โดยมี
- พระอุปัชฌาย์ พระครูอาทรธรรมวินัย วัดคุ้งกร่าง อ.บางคล้า จ.ฉะเชิงเทรา
- พระกรรมวาจาจารย์ พระอธิการวอน วัดแจ้ง อ.บางคล้า จ.ฉะเชิงเทรา
- พระอนุสาวนาจารย์ พระอธิการอ๋อง วัดโพธิ์ อ.บางคล้า จ.ฉะเชิงเทรา
วิทยฐานะ
- พ.ศ. ๒๔๖๗: สำเร็จการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ จากโรงเรียนวัดแจ้ง
- พ.ศ. ๒๔๗๒: สอบได้นักธรรมชั้นตรี ณ สนามสอบวัดแจ้ง
งานด้านการปกครอง
ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดแจ้ง เมื่อวันที่ ๒๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๙๕
งานด้านสาธารณูปการ
ตลอดช่วงที่ดำรงตำแหน่ง ท่านได้สร้างคุณูปการด้านการพัฒนาวัดไว้มากมาย ดังนี้
- พ.ศ. ๒๔๗๙ สร้างอุโบสถ จำนวน ๑ หลัง ใช้งบประมาณ ๑๖๐,๐๐๐ บาท (หนึ่งแสนหกหมื่นบาทถ้วน)
- พ.ศ. ๒๔๙๑ สร้างศาลาการเปรียญ ๑ หลัง ใช้งบประมาณ ๑๕๐,๐๐๐ บาท (หนึ่งแสนห้าหมื่นบาทถ้วน)
- พ.ศ. ๒๕๑๗ สร้างกุฏิ ๑ หลัง ใช้งบประมาณ ๒๕๐,๐๐๐ บาท (สองแสนห้าหมื่นบาทถ้วน)
- พ.ศ. ๒๕๒๐ สร้างกุฏิเพิ่มเติม ๗ หลัง (เป็นอาคารครึ่งตึกครึ่งไม้ ๕ หลัง และอาคารตึก ๒ ชั้น ๒ หลัง) ใช้งบประมาณ ๑,๖๐๐,๐๐๐ บาท (หนึ่งล้านหกแสนบาทถ้วน)
- พ.ศ. ๒๕๑๙ สร้างรั้วกำแพง ๒ ด้าน ความยาวรวมประมาณ ๓๕๔ เมตร ใช้งบประมาณ ๔๐๐,๐๐๐ บาท (สี่แสนบาทถ้วน)
ผู้จัดทำขอขอบพระคุณแหล่งข้อมูลและผู้มีอุปการคุณทุกท่าน สำหรับข้อมูลประกอบการเรียบเรียงเนื้อหา โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อมูลจากเอกสารสำคัญ ได้แก่ หนังสือประวัติวัดทั่วราชอาณาจักร เล่ม ๑๙, หนังสือทำเนียบวัดและพระสังฆาธิการแห่งแปดริ้ว (จัดพิมพ์ในงานสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ ๒๐๐ ปี) และคู่มือของวัดแจ้งบางคล้า
ตลอดจนขอขอบพระคุณ พระครูสุตธรรมมาภรณ์, ดร. รองเจ้าอาวาสวัดปิตุลาธิราชรังสฤษฎิ์ และ พระครูปลัดวิมลปริยัติวัฒน์, ดร. เจ้าอาวาสวัดแจ้งบางคล้า ที่ได้เมตตาเอื้อเฟื้อข้อมูลอันเป็นประโยชน์ยิ่ง จึงขอขอบพระคุณมา ณ โอกาสนี้เป็นอย่างสูง
จุดเด่นสำคัญของวัดแจ้งคือพระอุโบสถ ซึ่งมีประวัติการก่อสร้างที่น่าสนใจ ในอดีตวัดแจ้งเคยมีอุโบสถหลังเดิมตั้งอยู่ ณ บริเวณโรงเรียนวัดแจ้งในปัจจุบัน สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๕ โดยหลวงประกาศคดี
ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๘ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ตรงกับปี พ.ศ. ๒๔๗๙ ได้มีการรื้อถอนอุโบสถหลังเดิมและสร้างหลังใหม่ขึ้นทดแทน โดยการก่อสร้างครั้งนี้เกิดขึ้นจากพลังศรัทธาของพุทธศาสนิกชน นำโดยคุณยายเจียม เงี้ยมอื้อ เศรษฐินีแห่งบางคล้า ซึ่งท่านได้บริจาคทุนทรัพย์ส่วนตัวเป็นเงินจำนวน ๗๐,๐๐๐ บาท เพื่อเป็นทุนหลักในการก่อสร้างพระอุโบสถหลังปัจจุบันนี้

ภาพนี้ถ่ายทอดให้เห็นถึงความสง่างามตระการตาของพระอุโบสถวัดแจ้งบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรา ในมุมมองจากด้านทิศตะวันตกอย่างเต็มองค์ ประกอบกับท้องฟ้าสีครามสดใส ยิ่งขับเน้นให้สถาปัตยกรรมพุทธศิลป์อันล้ำค่าหลังนี้ดูโดดเด่นและเปี่ยมด้วยมนต์ขลัง
ความงดงามที่ปรากฏในภาพนี้ สะท้อนถึงคำกล่าวที่ว่า การก่อสร้างพระอุโบสถหลังนี้ได้รวบรวมช่างฝีมือชั้นครูจากช่างสิบหมู่มาจัดทำ ส่งผลให้ตัวอุโบสถมีสถาปัตยกรรมอันงดงามโดดเด่นเทียบเท่าพระอารามหลวง โดยเป็นการผสานศิลปะแบบไทยและจีนเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว ซึ่งเราสามารถเห็นรายละเอียดที่สนับสนุนคำกล่าวนี้ได้จากองค์ประกอบต่างๆ ดังนี้
- ภาพรวมและลวดลายอุโบสถ ตัวอาคารมีลักษณะสถาปัตยกรรมไทยประเพณีอย่างสมบูรณ์แบบ ประกอบด้วยหลังคาทรงจั่วซ้อนชั้น ประดับด้วยช่อฟ้า ใบระกา และหางหงส์สีทองอร่าม หน้าบันโดดเด่นด้วยลายปูนปั้นปิดทองประดับกระจกสีน้ำเงินอันเป็นเอกลักษณ์ เสาอุโบสถสีขาวบริสุทธิ์ตัดกับผนังด้านในที่ประดับด้วยกระเบื้องลายดอกไม้เล็กๆ อย่างละเอียดทั่วทั้งผืน
- ประตูเข้าอุโบสถ แม้จะเห็นในระยะไกล แต่ประตูทางเข้ามีลักษณะเป็นซุ้มยอดอย่างงดงาม บานประตูเป็นไม้แกะสลักลวดลายประณีต ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงานช่างสิบหมู่ที่บ่งบอกถึงความสำคัญของพื้นที่ภายใน
- กำแพงแก้วและซุ้มประตู สิ่งที่เพิ่มความสง่างามให้กับภาพรวมคือ “กำแพงแก้ว” สีครีมที่ล้อมรอบพระอุโบสถ ที่มุมกำแพงมี ซุ้มประตู ขนาดเล็กแต่มีลวดลายวิจิตรไม่แพ้ตัวอุโบสถ เป็นซุ้มยอดทรงมณฑปปิดทอง ประดับด้วยลวดลายปูนปั้นที่อ่อนช้อย ทำหน้าที่เป็นประตูกำแพงแก้วที่เสริมให้องค์อุโบสถดูสูงส่งและสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น
ด้วยองค์ประกอบศิลป์ที่วิจิตรงดงามในทุกรายละเอียดนี้เอง ความงดงามวิจิตรของพระอุโบสถหลังนี้จึงเป็นที่เลื่องลือขจรไกล จนได้รับการยกย่องจากกรมการศาสนาและประชาชนทั่วไปว่าเป็นอุโบสถที่สวยงามที่สุดในภาคตะวันออก นับเป็นศาสนสถานอันทรงคุณค่าและเป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่งของชาวบางคล้าสืบมา และภาพนี้ก็ได้บันทึกความภาคภูมิใจนั้นไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ

ภาพรวมที่ปรากฏคือทัศนียภาพอันงดงามวิจิตรของพระอุโบสถในวัดไทยแห่งหนึ่ง โดยจัดแสดงในรูปแบบ ๓ มุมมองที่เน้นให้เห็นความละเอียดลออของงานสถาปัตยกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “หน้าบัน” ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของความงามในภาพนี้
องค์ประกอบของหน้าบันมีความโดดเด่นและซับซ้อนอย่างยิ่ง โดยแบ่งโครงสร้างหลักออกเป็น ๓ ชั้น ตามรายละเอียดที่ให้มา คือ
- หน้าบันชั้นบนสุด ภาพระยะใกล้ตรงกลางช่วยขับเน้นให้เห็นงานแกะสลักไม้เป็นรูป พระพรหม ๔ หน้า ทรงหงส์ ในรูปแบบ ๓ มิติ ซึ่งเป็นรายละเอียดที่หาชมได้ยากและแสดงถึงฝีมือของช่างชั้นครู
- หน้าบันชั้นกลาง ถัดลงมาเป็นองค์ประกอบหลักที่ดึงดูดสายตา คือรูป พระอินทร์สีเขียวทรงช้างเอราวัณ ๓ เศียร ที่มีท่วงท่าสง่างาม ล้อมรอบด้วยลายกนกเปลวเครือเถาที่อ่อนช้อยและพลิ้วไหว
- องค์ประกอบเสริม ขอบของหน้าบันประดับด้วย เทพพนม เรียงรายอย่างเป็นระเบียบ และที่สำคัญคือการเลือกใช้ กระจกสีน้ำเงิน ประดับเป็นพื้นหลัง ซึ่งตัดกับสีทองของลายกนกได้อย่างลงตัว การใช้เทคนิคนี้ไม่เพียงทำให้หน้าบันมีสีสันสดใส แต่ยังสร้างมิติที่ลุ่มลึก และจะเกิดประกายแวววาวเจิดจ้าเมื่อต้องแสงอาทิตย์ ช่วยขับเน้นให้ลวดลายทั้งหมดดูมีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้น
เมื่อมองภาพรวมจากแผงด้านซ้าย จะเห็นถึงความสง่างามของตัวอุโบสถทั้งหมด ตั้งแต่เสาสีขาวที่รองรับโครงสร้างหลังคา ไปจนถึงราวระเบียงและฐานที่ตกแต่งอย่างสวยงาม ภาพนี้จึงเป็นการนำเสนอผลงานพุทธศิลป์ชั้นสูง ที่ผสมผสานทั้งงานแกะสลัก ประติมากรรม และการประดับกระจกสีได้อย่างกลมกลืนและน่าอัศจรรย์ใจ เป็นภาพที่สะท้อนถึงพลังแห่งศรัทธาและความเป็นเลิศในเชิงช่างของไทยได้อย่างสมบูรณ์แบบ

ภาพที่ท่านนำมาแสดงนี้ คือรายละเอียดระยะใกล้ของ “หน้าบันชั้นกลาง” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของหน้าบันด้านทิศตะวันตก (ด้านหน้า) ของพระอุโบสถวัดแจ้งบางคล้า อันเป็นที่เลื่องลือในหมู่ผู้มาเยือนด้วยแนวคิดที่แปลกใหม่และเปี่ยมด้วยอารมณ์ขันในชื่อชุด “เทวดาคุยกัน”
ภาพรวมและความเป็นศิลปะ
ศิลปะที่ปรากฏในภาพนี้เป็นการผสมผสานงานช่างชั้นสูงหลายแขนงได้อย่างลงตัวที่สุด พื้นหลังเป็นงานประดับกระจกสีเขียวและน้ำเงินสลับกันเป็นลายเรขาคณิต สร้างมิติที่งดงามและระยิบระยับเมื่อต้องแสง บนพื้นหลังนี้ประดับด้วยประติมากรรมปูนปั้นปิดทองคำเปลวเป็นรูปเทวดาและซุ้มเรือนแก้ว ทำให้เกิดภาพที่มีสีสันสดใสและความอร่ามของทองคำที่ตัดกันอย่างงดงาม
องค์ประกอบในภาพนี้แบ่งออกเป็น ๒ ส่วนหลักตามแนวตั้ง คือ
๑. เหล่าเทวดาที่กำลังสนทนา (แถวบน)
นี่คือหัวใจหลักของเรื่องราว “เทวดาคุยกัน” ตามข้อมูลที่ท่านให้มา แถวบนนี้ประกอบด้วยเทวดา ๖ องค์ที่ลอยอยู่เหนือซุ้มเรือนแก้ว แต่ละองค์แสดงอิริยาบถที่แตกต่างกันและมี “คำพูด” เป็นตัวอักษรบนป้ายสีแดงลอยออกมาจาก устата (ปาก) เพื่อเล่าเรื่องราวการเดินทางมุ่งสู่เป้าหมายอันประเสริฐ โดยมีบทสนทนาเรียงจากซ้ายไปขวา ดังนี้
- องค์ที่ ๑ “รอคนแก่ด้วยโว้ย”
- องค์ที่ ๒ “วิ่งเข้าเว้ย”
- องค์ที่ ๓ “ไปวิมาน”
- องค์ที่ ๔ “ไปนิพพาน”
- องค์ที่ ๕ “มาเถิด”
- องค์ที่ ๖ “คอยด้วยโว้ย”
บทสนทนาที่ดูเรียบง่ายและเป็นกันเองนี้ คือกุศโลบายอันชาญฉลาดของช่างศิลป์ที่ต้องการสอดแทรกคติธรรมและเป้าหมายในทางพุทธศาสนาให้เข้าถึงง่ายและน่าจดจำ
๒. เทวดาในซุ้มเรือนแก้ว (แถวล่าง)
ด้านล่างของเหล่าเทวดาที่กำลังสนทนากันนั้น เป็นที่ประดิษฐานของเทวดาอีก ๕ องค์ที่ประทับนั่งอย่างสง่างามอยู่ใน “ซุ้มเรือนแก้ว” ที่ปิดทองอย่างวิจิตร เทวดาในซุ้มเหล่านี้มีลักษณะที่สงบนิ่ง อยู่ในท่าพนมมือแสดงความเคารพ ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับความเคลื่อนไหวและบทสนทนาของเทวดาที่อยู่แถวบน ศิลปะส่วนนี้อาจสื่อถึงสภาวะของผู้ที่ตั้งมั่นอยู่ในคุณธรรมและความสงบแล้ว หรืออาจเป็นตัวแทนของเหล่าพระอริยบุคคลผู้เป็นแบบอย่างนั่นเอง
โดยสรุป ภาพนี้ไม่เพียงแต่แสดงให้เห็นถึงความงดงามของศิลปะปูนปั้นและงานประดับกระจกเท่านั้น แต่ยังเป็นการบันทึกเรื่องราวเชิงปรัชญาที่ลึกซึ้งผ่านอารมณ์ขัน ทำให้ผู้ที่ได้ชมเกิดความประทับใจและได้ขบคิดถึงปริศนาธรรมที่ซ่อนอยู่ นับเป็นความคิดสร้างสรรค์อันเป็นเอกลักษณ์ที่หาชมได้ยากยิ่ง

ภาพนี้คือรายละเอียดระยะใกล้ขององค์ประกอบศิลปะบริเวณ “หน้าบันชั้นล่าง” ซึ่งเป็นส่วนตกแต่งผนังใต้แนวหลังคาของพระอุโบสถวัดแจ้งบางคล้า แสดงให้เห็นถึงความประณีตและความใส่ใจในทุกรายละเอียดของงานช่างฝีมือชั้นครู
ศิลปะและลวดลายบนหน้าบันชั้นล่าง
องค์ประกอบสำคัญของศิลปะในส่วนนี้คือการ ประดับด้วยลายเทพพนม ประกอบลายก้านขดกนกเปลว ซึ่งสามารถอธิบายขยายความจากภาพได้ดังนี้
- ลายเทพพนม ที่ศูนย์กลางขององค์ประกอบ คือรูปประติมากรรมปิดทองของ “เทพพนม” หรือเทวดาที่อยู่ในท่ายืนประนมมือแสดงความเคารพ ลวดลายแกะสลักมีความคมชัดและสง่างาม สื่อถึงเหล่าทวยเทพที่สถิตอยู่เพื่อปกป้องและแสดงความเคารพต่อพุทธสถานอันศักดิ์สิทธิ์
- ลายก้านขดกนกเปลว รายล้อมองค์เทพพนมคือ “ลายก้านขดกนกเปลว” สีทองอร่ามที่มีความพลิ้วไหวและทรงพลัง ลายก้านที่ม้วนตัวอย่างต่อเนื่องและลายกนกที่สะบัดปลายคล้ายเปลวไฟ ได้สร้างความรู้สึกเคลื่อนไหวและเติมเต็มพื้นที่ว่างให้เปี่ยมด้วยพลังแห่งความดีงาม
เทคนิคและภาพรวมทางศิลปะ
ความงดงามของลวดลายเหล่านี้ถูกขับเน้นให้โดดเด่นถึงขีดสุดด้วยเทคนิคการใช้ พื้นหลังที่ประดับด้วยกระจกสีน้ำเงินเข้ม ทำให้ประติมากรรมปิดทองทั้งหมดดูลอยเด่น มีมิติ และเกิดประกายสะท้อนแสงอย่างงดงาม นับเป็นการใช้คู่สีที่ตัดกันอย่างทรงพลังและเป็นเอกลักษณ์ของศิลปะไทยยุครัตนโกสินทร์
โดยสรุป ภาพรายละเอียดของหน้าบันชั้นล่างนี้ ยืนยันให้เห็นว่าทุกตารางนิ้วของพระอุโบสถวัดแจ้งบางคล้าได้รับการรังสรรค์อย่างวิจิตรบรรจง สมดังที่เป็นศาสนสถานอันเป็นความภาคภูมิใจและได้รับการยกย่องในด้านความงามอย่างกว้างขวาง

ภาพชุดนี้แสดงให้เห็นถึงรายละเอียดอันวิจิตรตระการตาขององค์ประกอบบนผนังด้านนอกพระอุโบสถวัดแจ้งบางคล้า ซึ่งประกอบด้วยซุ้มหน้าต่างและบานประตูหรือบานหน้าต่างที่แกะสลักอย่างงดงาม สะท้อนถึงฝีมือเชิงช่างชั้นครูและความสำคัญทางประวัติศาสตร์ที่ซ่อนอยู่ในลวดลาย
ศิลปะบนผนัง ซุ้มหน้าต่าง และบานประตู
เมื่อพิจารณาจากภาพและข้อมูลที่ท่านให้มา สามารถอธิบายรายละเอียดในแต่ละส่วนได้ดังนี้
๑. ซุ้มหน้าต่างและสัญลักษณ์สำคัญ (ภาพกลาง) ซุ้มหน้าต่างของพระอุโบสถโดดเด่นด้วยลวดลายปูนปั้นปิดทองประดับกระจกสีน้ำเงินและเขียวอย่างอลังการ แต่จุดที่น่าสนใจและมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์อย่างยิ่งอยู่บนยอดซุ้ม ซึ่งตามข้อมูลระบุว่าประดับด้วยรูป “พานรัฐธรรมนูญตั้งอยู่บนช้าง ๓ เศียร” สัญลักษณ์นี้เป็นสิ่งสะท้อนยุคสมัยของการก่อสร้างอุโบสถ (พ.ศ. ๒๔๗๙) ซึ่งอยู่ในช่วงหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕ การนำสัญลักษณ์ประชาธิปไตยมาผสมผสานกับศิลปะทางพุทธศาสนาเช่นนี้ นับเป็นสิ่งที่มีเอกลักษณ์และหาชมได้ยากยิ่ง
๒. บานประตูไม้สักและเทวดาผู้พิทักษ์ (ภาพซ้ายและขวา) ขนาบข้างช่องหน้าต่างคือบานประตูหรือบานหน้าต่าง ซึ่งตามข้อมูลระบุว่า “ทำด้วยไม้สัก แกะสลักเป็นรูปเทวดาถือธนูลงรักปิดทอง” ภาพซ้ายแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงรูปแกะสลัก “ทวารบาล” หรือเทวดาผู้รักษาประตูในท่าถือคันธนูอย่างสง่างามและทรงพลัง ลวดลายบนองค์เทวดามีความคมชัดและปิดทองคำเปลวอร่ามบนพื้นรักสีดำสนิท ซึ่งเป็นเทคนิคชั้นสูงที่ขับเน้นให้องค์เทวดาดูโดดเด่นและน่าเกรงขาม
๓. ผนังด้านนอกอุโบสถ ผนังโดยรอบประดับด้วยกระเบื้องเคลือบสีทองและสีน้ำเงิน สลับกันเป็นลายไทยในรูปแบบเรขาคณิตที่เรียกว่า “ลายประจำยาม” หรือ “ลายกระจัง” อย่างเป็นระเบียบทั่วทั้งผืน ทำให้ผนังของพระอุโบสถทั้งหมดมีความงดงาม หรูหรา และเปล่งประกายระยิบระยับเมื่อต้องแสง
โดยสรุป องค์ประกอบทั้งหมดนี้ไม่เพียงแต่แสดงให้เห็นถึงความงามอันสมบูรณ์แบบของสถาปัตยกรรมไทย แต่ยังเป็นการบันทึกประวัติศาสตร์ของชาติและคติความเชื่อทางศาสนาไว้ในงานศิลปะได้อย่างกลมกลืนและเปี่ยมด้วยความหมาย

ภาพนี้คือทัศนียภาพอันงดงามของประตูทางเข้าทั้ง ๓ บาน ด้านหน้าพระอุโบสถวัดแจ้งบางคล้า ซึ่งจัดแสดงในรูปแบบ ๓ มุมมอง เผยให้เห็นความอลังการของสถาปัตยกรรมและศิลปะการตกแต่งอันเป็นเอกลักษณ์ สะท้อนถึงสถานะและความสำคัญของพุทธสถานแห่งนี้ได้อย่างสมบูรณ์
ศิลปะบนบานประตู ซุ้มประตู และผนังอุโบสถ
ตามข้อมูลที่ท่านให้มา สามารถอธิบายรายละเอียดขององค์ประกอบต่างๆ ที่ปรากฏในภาพได้ดังนี้
๑. ประตูทางเข้าทั้ง ๓ บาน
พระอุโบสถมีประตูทางเข้าด้านหน้า ๓ ประตู ซึ่งแต่ละบานมีความหมายและลักษณะเฉพาะตัว
- ประตูกลาง (ประตูเจ้า) ภาพกลางแสดงให้เห็นประตูกลาง หรือที่เรียกขานกันว่า “ประตูเจ้า” ซึ่งเป็นทางเข้าหลัก บานประตูทำจากไม้แกะสลักอย่างวิจิตรพิสดาร สงวนไว้สำหรับพระมหากษัตริย์หรือพระบรมวงศานุวงศ์ และพระเถระชั้นผู้ใหญ่
- ประตูด้านซ้ายและขวา ในภาพ ประตูทั้งสองด้านเปิดออกให้เห็นความงดงามภายในพระอุโบสถที่ปูด้วยพรมสีแดงสดใส ตามข้อมูลระบุว่าบานประตูทั้งสองนี้เป็นงานศิลปะแกะสลักไม้ที่เปี่ยมด้วยเรื่องราวและความหมาย โดยสลักเป็นรูป สัตว์ในป่าหิมพานต์ ประกอบกับลวดลายทศชาติ (ครึ่งบน) และปีนักษัตร (ครึ่งล่าง) นับเป็นการผสมผสานคติความเชื่อทางพุทธศาสนาและโหราศาสตร์เข้าไว้ในงานศิลปะได้อย่างน่าสนใจ
๒. ซุ้มประตู
เหนือประตูทุกบานประดับด้วย “ซุ้มประตูทรงมณฑป จอมแห” ซึ่งเป็นซุ้มยอดแหลมที่ทำจากปูนปั้น ปิดทองคำเปลวอร่าม และประดับกระจกสีอย่างวิจิตรบรรจง
- ซุ้มประตูกลาง มีความพิเศษและหรูหรากว่าซุ้มอื่น โดยด้านบนสุดทำเป็น “รูปทรงมงกุฎ” เพื่อเน้นย้ำถึงความสำคัญของประตูประธาน
๓. ผนังอุโบสถ
ผนังโดยรอบซุ้มประตูทั้งหมดประดับด้วยกระเบื้องเคลือบสีทองและสีน้ำเงินสลับกันเป็น “ลายไทยประยุกต์” ในรูปแบบเรขาคณิตอย่างเป็นระเบียบ สร้างพื้นผิวที่งดงาม หรูหรา และเป็นเอกภาพทั่วทั้งอาคาร
โดยสรุป ประตูทางเข้าทั้งสามของพระอุโบสถวัดแจ้งบางคล้าไม่ได้เป็นเพียงทางผ่านเข้าสู่ภายใน แต่เป็นเสมือนดังประตูสู่โลกแห่งพุทธศิลป์ที่รวบรวมสุดยอดงานช่างหลายแขนง ทั้งงานแกะสลักไม้ที่บอกเล่าเรื่องราว งานปูนปั้นปิดทองประดับกระจกอันวิจิตร และงานกระเบื้องเคลือบที่หรูหรา ทั้งหมดนี้ยืนยันถึงความศรัทธาและฝีมือเชิงช่างอันเป็นเลิศ สมดังคำยกย่องถึงความงามที่เลื่องลือไปทั่ว

ภาพชุดนี้แสดงให้เห็นความงดงามอันเปี่ยมด้วยศรัทธาขององค์พระประธานที่ประดิษฐาน ณ ศูนย์กลางของพระอุโบสถวัดแจ้งบางคล้า ผ่านมุมมอง ๓ ระดับ ตั้งแต่ภาพรวมอันสงบงดงาม ไปจนถึงรายละเอียดพระพักตร์ที่เปี่ยมด้วยเมตตา
องค์พระประธานและที่มา
ตามข้อมูลที่ท่านให้มา องค์พระประธานในอุโบสถวัดแจ้งบางคล้านี้ เป็นองค์จำลองของ “พระพุทธชินราช” ซึ่งเป็นพระพุทธรูปที่ได้รับการยอมรับว่ามีพุทธลักษณะงดงามที่สุดองค์หนึ่งในประเทศไทย และจากการศึกษาค้นคว้าพบว่า องค์จำลองพระพุทธชินราชวัดแจ้งนี้ ได้มีการถ่ายแบบมาจากพระพุทธชินราชจำลอง ณ พระอุโบสถวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามราชวรวิหาร กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นพระพุทธรูปที่มีชื่อเสียงและเป็นที่เคารพสักการะอย่างกว้างขวาง
จากภาพจะเห็นองค์พระประธานประทับนั่งในปางมารวิชัยบนฐานชุกชีที่ตกแต่งอย่างงดงาม พระวรกายสีทองอร่ามสง่างาม พระพักตร์อิ่มเอิบ เปี่ยมด้วยพระเมตตา สมดังพุทธลักษณะของพระพุทธชินราชทุกประการ
ซุ้มเรือนแก้วและความหมาย
ครอบอยู่เบื้องหลังองค์พระประธานคือ “ซุ้มเรือนแก้ว” ที่แกะสลักลวดลายกนกเปลวปิดทองอย่างวิจิตรตระการตา ซุ้มเรือนแก้วนี้มีความหมายเชิงสัญลักษณ์ที่สำคัญ คือ เป็นตัวแทนของ “พระรัศมี” หรือฉัพพรรณรังสี อันเป็นแสงสว่างที่แผ่ไพศาลออกจากพระวรกายของผู้ทรงตรัสรู้แล้ว รูปทรงที่คล้ายเปลวไฟยังสื่อถึงพระปัญญาที่เผาผลาญกิเลสให้หมดสิ้นไป การมีซุ้มเรือนแก้วจึงเป็นการเชิดชูและเน้นย้ำถึงพระบารมีและสภาวะการเป็นพุทธะขององค์พระประธานให้ปรากฏเด่นชัดยิ่งขึ้น
ลวดลายฝาผนังภายในอุโบสถ
ผนังโดยรอบภายในพระอุโบสถประดับด้วย “ลายไทย” สีทองบนพื้นหลังสีแดงเข้มอย่างต่อเนื่องเป็นระเบียบ ลวดลายที่ใช้นั้นมีลักษณะคล้ายลายพุ่มข้าวบิณฑ์หรือลายดาวเพดาน การตกแต่งผนังในลักษณะนี้ช่วยสร้างบรรยากาศที่ศักดิ์สิทธิ์ สงบ และขรึมขลัง อีกทั้งยังขับเน้นให้องค์พระประธานสีทองที่อยู่ ณ ศูนย์กลาง มีความโดดเด่นและเป็นที่รวมสายตาของผู้เข้ามาสักการะ
โดยสรุป องค์ประกอบทั้งหมดภายในพระอุโบสถ ไม่ว่าจะเป็นองค์พระประธานที่มีที่มาอันทรงคุณค่า ซุ้มเรือนแก้วที่เปี่ยมด้วยความหมาย และลวดลายผนังที่งดงาม ต่างผสมผสานกันอย่างลงตัวเพื่อสร้างสรรค์พุทธสถานอันเป็นศูนย์รวมใจและเป็นมรดกทางศิลปะอันล้ำค่าของชาวบางคล้าและประเทศไทย

ภาพนี้คือประติมากรรมลอยตัวอันมีเอกลักษณ์และเปี่ยมด้วยความหมายเชิงสัญลักษณ์ ซึ่งจัดแสดงในรูปแบบ ๓ มุมมองเพื่อให้เห็นรายละเอียดอย่างชัดเจน โดยท่านได้ให้ข้อมูลว่าประติมากรรมชิ้นนี้ตั้งอยู่เป็นคู่ทางด้านซ้ายและขวา ณ ฐานของซุ้มเรือนแก้วที่ครอบองค์พระพุทธชินราชจำลอง ภายในพระอุโบสถวัดแจ้งบางคล้า
ลักษณะทางศิลปะและองค์ประกอบ
ประติมากรรมชิ้นนี้เป็นงานศิลปะที่ผสมผสานคติความเชื่อทางพุทธศาสนาและจินตนาการของช่างฝีมือได้อย่างน่าทึ่ง มีองค์ประกอบที่ซ้อนกันเป็นลำดับชั้น ซึ่งตามข้อมูลที่ท่านให้มาระบุไว้ว่าคือ “มังกรเหยียบจาน มารขี่บนหลังสิงห์แบกไว้” สามารถอธิบายรายละเอียดจากล่างขึ้นบนได้ดังนี้
- สิงห์ (ผู้แบกรับ) ส่วนฐานสุดของประติมากรรมคือ “สิงห์” ปิดทองคำเปลวที่ยืนอย่างสง่างาม ในทางศิลปะ สิงห์เป็นสัญลักษณ์ของพละกำลัง อำนาจ และการพิทักษ์พระพุทธศาสนา
- มาร (ผู้ขี่สิงห์) บนหลังของสิงห์มี “มาร” ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของกิเลสและอุปสรรคต่างๆ นั่งอยู่ แต่แทนที่จะเป็นผู้ควบคุม กลับอยู่ในท่าที่ต้องแบกรับถาดหรือจานไว้ แสดงถึงสภาวะที่ถูกควบคุมหรือสยบแล้ว
- มังกร (ผู้อยู่บนสุด) บนจานที่มารถืออยู่ คือ “มังกร” หรือพญานาคที่ชูคออย่างองอาจ ซึ่งอาจสื่อถึงพลังอำนาจทางโลกหรือความยิ่งใหญ่อื่นๆ
ความเป็นมาและการตีความเชิงสัญลักษณ์
ประติมากรรมชิ้นนี้มิใช่เพียงของตกแต่ง แต่เป็น “ปริศนาธรรม” และภาพสะท้อนคติธรรมเรื่อง “การชนะมาร” ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งสอดคล้องโดยตรงกับองค์พระประธาน “พระพุทธชินราช” ที่ประทับอยู่ในปางมารวิชัย
- ความหมายโดยรวมคือ พลังแห่งพระพุทธศาสนา (สิงห์) นั้นยิ่งใหญ่และมีอำนาจเหนือกว่าหมู่มารและกิเลสทั้งปวง (มารขี่บนหลังสิงห์) จนสามารถสยบมารให้กลับมาทำหน้าที่ค้ำจุนพระพุทธศาสนาได้ (มารแบกมังกร/พญานาค)
ดังนั้น ประติมากรรม “มารขี่สิงห์” นี้จึงทำหน้าที่เป็นส่วนขยายเชิงสัญลักษณ์ บอกเล่าเรื่องราวชัยชนะของพระพุทธองค์ได้อย่างเป็นรูปธรรมและน่าขบคิด เป็นการผสมผสานจินตนาการทางศิลปะเข้ากับหลักธรรมได้อย่างลึกซึ้งและมีเอกลักษณ์โดดเด่นอย่างยิ่ง

ภาพนี้คือทัศนียภาพเมื่อแหงนมองขึ้นไปบน เพดานภายในพระอุโบสถวัดแจ้งบางคล้า ซึ่งเผยให้เห็นงานตกแต่งภายในที่งดงามและสร้างบรรยากาศอันศักดิ์สิทธิ์สมกับเป็นพุทธสถานอันเลื่องชื่อ
ศิลปะ ลวดลาย และสีสันบนเพดานและฝาผนัง
ตามลักษณะของภาพนี้ สามารถอธิบายรายละเอียดที่ปรากฏในภาพได้ดังนี้
๑. เพดานพระอุโบสถ
เพดานได้รับการออกแบบอย่างวิจิตรตระการตา โดยมีองค์ประกอบหลักคือ
- สีและโครงสร้าง พื้นเพดานถูกแบ่งเป็นช่องสี่เหลี่ยม (Coffered ceiling) และทาด้วย “สีแดง” เข้มสด ซึ่งเป็นสีมงคลที่ให้ความรู้สึกขรึมขลังและสูงส่ง โครงสร้างของขื่อและคานที่แบ่งช่องเพดานนั้นประดับด้วยลายปิดทองอย่างสวยงาม
- ลวดลายดาวประดับ บนพื้นสีแดงนั้น “ประดับตกแต่งลวดลายของดาวสวยงาม” หรือที่เรียกว่า “ดาวเพดาน” สีทองเป็นระยะๆ อย่างมีระเบียบ ลวดลายดาวเหล่านี้เป็นสัญลักษณ์แทนดวงดาวบนท้องฟ้าหรือสรวงสวรรค์ ทำให้ผู้ที่อยู่ภายในรู้สึกประหนึ่งว่ากำลังอยู่ในดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ นอกจากนี้ ยังมีการประดับด้วยโคมไฟระย้า (แชนเดอเลียร์) ที่ช่วยเพิ่มแสงสว่างและความหรูหราให้แก่ภายในอุโบสถ
๒. ฝาผนังพระอุโบสถ
แม้ภาพจะเน้นที่เพดาน แต่ยังเผยให้เห็นส่วนบนของฝาผนังซึ่งตกแต่งอย่างหรูหราด้วยลายไทยสีทองบนพื้นสีเข้มอย่างต่อเนื่องเต็มพื้นที่ และตามข้อมูลที่ท่านให้มานั้น “ลายไทยบนฝาผนังเป็นลายเทพพนมและลายหน้าสิงห์” ซึ่งเป็นลวดลายมงคลตามคติไทย สื่อถึงการคุ้มครองปกปักรักษาและความเคารพต่อพระพุทธศาสนา
โดยสรุป การออกแบบภายในพระอุโบสถวัดแจ้งบางคล้าเป็นการผสมผสานศิลปะการตกแต่งได้อย่างลงตัวและเปี่ยมด้วยความหมาย เพดานสีแดงประดับดาวเปรียบดังท้องฟ้าและสรวงสวรรค์ ขณะที่ฝาผนังลวดลายเทพพนมและหน้าสิงห์ก็สร้างบรรยากาศแห่งความศักดิ์สิทธิ์และความสงบ ทั้งหมดนี้ร่วมกันสร้างสรรค์พุทธสถานให้เป็นพื้นที่อันงดงามและเป็นศูนย์รวมแห่งศรัทธาได้อย่างสมบูรณ์แบบ

ภาพนี้แสดงให้เห็นถึงรายละเอียดทางประวัติศาสตร์และศิลปะอันทรงคุณค่าที่ประดับอยู่บนผนังภายในพระอุโบสถวัดแจ้งบางคล้า ซึ่งประกอบด้วยเหรียญที่ระลึกที่ตั้งอยู่เหนือแผ่นจารึก บนพื้นหลังที่เป็นจิตรกรรมฝาผนังลายไทยอันงดงาม
เหรียญที่ระลึกรัชกาลที่ ๘
จุดเด่นที่สุดในภาพคือ “เหรียญบรมรูปรัชกาลที่ ๘” ซึ่งตามข้อมูลที่ระบุว่า เป็นเหรียญที่สร้างขึ้นเป็นที่ระลึกในวโรกาสสำคัญที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เสด็จนิวัตประเทศไทย พร้อมด้วยสมเด็จพระราชชนนี, สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ และสมเด็จพระอนุชาธิราช เมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๑
จากภาพและข้อมูลสามารถอธิบายลักษณะของเหรียญได้ดังนี้
- ลักษณะโดยรวม เป็นเหรียญกลมแบน ขอบเรียบ
- ด้านหน้า เป็นพระบรมรูปของรัชกาลที่ ๘ ระดับพระอุระ (ครึ่งพระองค์) ผินพระพักตร์ไปทางขวาของเหรียญ ริมขอบมีพระปรมาภิไธยว่า “อานันทมหิดล” และ “สยามินทร์”มีจุดไข่ปลาอยู่โดยรอบริมขอบ ด้านหลัง มีข้อความว่า“นิวัฒน์ พระมหานคร ๒๔๘๑” ขนาด เส้นผ่าศูนย์กลาง ๓๐ มิลลิเมตร สร้าง พ.ศ. ๒๔๘๑
- ความสำคัญ การประดิษฐานเหรียญนี้ไว้ในพระอุโบสถซึ่งสร้างขึ้นในรัชสมัยของพระองค์ (พ.ศ. ๒๔๗๙) ถือเป็นการถวายพระเกียรติและเป็นเครื่องรำลึกถึงประวัติศาสตร์ของชาติที่ผูกพันกับศาสนสถานแห่งนี้อย่างแยกไม่ออก
ลวดลายของฝาผนัง
ด้านหลังของเหรียญและแผ่นจารึกคือ จิตรกรรมฝาผนังลายไทย ที่มีความวิจิตรตระการตา ลวดลายที่ปรากฏเป็นลายพุ่มข้าวบิณฑ์ ก้านแย่ง หน้าสิงห์สลับเทพประนม หรือลายประจำยามที่เขียนต่อเนื่องกันเต็มพื้นที่ ใช้โทนสีเหลือง-ส้มเป็นหลัก ตัดด้วยสีน้ำเงินและแดงอย่างลงตัว การใช้ลวดลายที่หนาแน่นและซ้ำๆ กันนี้เป็นลักษณะเด่นของงานจิตรกรรมในวัดที่ต้องการสร้างบรรยากาศให้เกิดความรู้สึกศักดิ์สิทธิ์และสูงส่ง
โดยสรุป ภาพนี้เป็นการผสมผสานกันอย่างกลมกลืนระหว่าง ศิลปวัตถุทางประวัติศาสตร์ ที่เกี่ยวเนื่องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ และ พุทธศิลป์ อันเป็นลวดลายประดับตกแต่งอุโบสถ ทำให้ผนังแห่งนี้ไม่ได้เป็นเพียงส่วนประกอบของอาคาร แต่ยังทำหน้าที่เป็นบันทึกทางประวัติศาสตร์ที่เชื่อมโยงความศรัทธาของประชาชนที่มีต่อศาสนาและสถาบันพระมหากษัตริย์ไว้ด้วยกัน

นายเสรี วสุพันธ์ นายอำเภอบางคล้า กำลังมองเครื่องราชอิสริยาภรณ์ เบญจมาภรณ์มงกุฎไทย ให้แก่ “คุณยายเจียม เงี่ยมอื้อ” เมื่อวันที่ ๔ เมษายน พ.ศ.๒๕๐๗ ที่บ้านคุณยายเจียม เงี่ยมอื้อ

ภาพนี้คือ “รอยพระพุทธบาทจำลอง” ซึ่งประดิษฐานอยู่ภายในพระอุโบสถวัดแจ้งบางคล้า อันเป็นอีกหนึ่งปูชนียวัตถุสำคัญที่พุทธศาสนิกชนให้ความเคารพสักการะ
ลักษณะของรอยพระพุทธบาทในภาพ
ภาพที่ปรากฏแสดงให้เห็นถึงรอยพระพุทธบาทจำลองที่เต็มไปด้วยร่องรอยแห่งศรัทธาจากสาธุชนอย่างชัดเจน
- ลักษณะทางกายภาพ เป็นรอยพระบาทขนาดใหญ่ ประทับลึกลงไปในฐานไม้หรือแท่นโลหะที่ทาด้วยรักสีดำ พื้นผิวของรอยพระบาทนั้นถูกปิดทับด้วย แผ่นทองคำเปลว และ เหรียญกษาปณ์ จำนวนมากที่พุทธศาสนิกชนนำมาถวายเป็นพุทธบูชา จนแทบไม่เห็นพื้นผิวเดิม การกระทำเช่นนี้ถือเป็นการสร้างบุญกุศลและแสดงความเคารพอย่างสูงสุด
- พุทธลักษณะ ที่ปลายนิ้วพระบาทจะเห็นเป็น ลายก้นหอย หรือวงจักร ซึ่งเป็นหนึ่งในมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
- เครื่องสักการะ นอกจากแผ่นทองและเหรียญแล้ว ยังปรากฏดอกไม้ประดิษฐ์ขนาดเล็กโปรยอยู่บนรอยพระบาท เป็นอีกหนึ่งเครื่องสักการะที่แสดงถึงความเลื่อมใสศรัทธา
ความเป็นมาและความสำคัญของ “รอยพระพุทธบาท” ในวัฒนธรรมไทย
การบูชารอยพระพุทธบาทเป็นคติความเชื่อที่สำคัญและสืบทอดมายาวนานในดินแดนประเทศไทยและในหมู่ชาวพุทธทั่วโลก โดยมีความเป็นมาและความหมายดังนี้
- เป็นสัญลักษณ์แทนองค์พระพุทธเจ้า ในยุคแรกๆ ของพระพุทธศาสนา ยังไม่มีการสร้างพระพุทธรูปเป็นรูปเคารพ ชาวพุทธในสมัยนั้นจะใช้สัญลักษณ์ต่างๆ แทนองค์พระพุทธเจ้า เช่น ธรรมจักร, ต้นพระศรีมหาโพธิ์ และ “รอยพระพุทธบาท” ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงการประทับอยู่จริงของพระองค์บนโลกมนุษย์
- เครื่องเตือนใจให้ปฏิบัติตามรอยพระธรรม รอยพระบาทเป็นเครื่องเตือนใจให้พุทธศาสนิกชนระลึกว่า พระพุทธองค์ได้ทรงดำเนินและวางหนทางแห่งการดับทุกข์ (พระธรรม) ไว้ให้แล้ว การบูชารอยพระบาทจึงเปรียบเสมือนการตั้งปณิธานว่าจะดำเนินตามรอยพระธรรมคำสอนของพระองค์
- ศูนย์รวมแห่งศรัทธาและบุญกุศล ในประเทศไทยมีรอยพระพุทธบาทที่สำคัญและเป็นที่รู้จักคือที่จังหวัดสระบุรี ซึ่งเป็นศูนย์รวมศรัทธาและเป็นสถานที่แสวงบุญที่สำคัญ การสร้าง “รอยพระพุทธบาทจำลอง” ขึ้นในวัดต่างๆ ทั่วประเทศ รวมถึงที่วัดแจ้งบางคล้าแห่งนี้ ก็เพื่อให้พุทธศาสนิกชนในท้องถิ่นที่ไม่สะดวกเดินทางไกล ได้มีโอกาสสักการะบูชาและสร้างบุญกุศลได้โดยสะดวก
ดังนั้น รอยพระพุทธบาทจำลองที่วัดแจ้งบางคล้า จึงไม่ได้เป็นเพียงวัตถุโบราณ แต่เป็นศูนย์รวมแห่งศรัทธาอันมีชีวิตชีวา ที่เชื่อมโยงผู้คนในชุมชนเข้ากับแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาได้อย่างงดงาม

ภาพนี้คือทัศนียภาพของ “ซุ้มประตู” ทางเข้าสู่เขตพัทธสีมาของพระอุโบสถวัดแจ้งบางคล้า ซึ่งจัดแสดงในรูปแบบ ๓ มุมมอง ให้เห็นถึงความสง่างามของสถาปัตยกรรมที่เป็นดั่งปราการด่านแรกก่อนเข้าสู่ตัวพระอุโบสถอันวิจิตร
หน้าบันซุ้มประตู ลวดลาย และสีสัน
ตามข้อมูลที่ท่านให้มา ซุ้มประตูนี้ได้รับการบูรณะใหม่ ทำให้มีสภาพที่สวยงามสมบูรณ์ จุดเด่นที่สุดของซุ้มประตูนี้อยู่ที่ส่วนของหน้าบัน ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
- ตราพญาครุฑ ที่ศูนย์กลางของหน้าบันประดับด้วย “ตราพญาครุฑ” หรือครุฑยุดนาคในท่าทางที่ทรงพลังและน่าเกรงขาม ตามคติไทย ครุฑเป็นพญาแห่งปักษาและเป็นพาหนะของพระนารายณ์ การนำตราพญาครุฑมาประดับไว้ ณ ซุ้มประตูจึงเป็นสัญลักษณ์แห่งการพิทักษ์รักษาสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้
- สีสัน การใช้สีมีความโดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์ตามแบบฉบับของวัดแจ้ง คือ ตราพญาครุฑสีทอง จะลอยเด่นอยู่บน พื้นหลังสีน้ำเงิน เข้ม และล้อมรอบด้วยกรอบ สีแดงสด ทำให้เกิดการตัดกันของสีที่งดงามและเปี่ยมด้วยพลัง
ส่วนประกอบของหลังคา (ช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์)
สำหรับส่วนประกอบที่เป็นลวดลายคล้ายฟันปลาเรียงตัวกันไปตามแนวสันหลังคานั้น เรียกว่า “ใบระกา” ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของสถาปัตยกรรมไทย โดยมีความหมายและส่วนประกอบอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่องกันดังนี้
- ช่อฟ้า คือส่วนที่อยู่บนสุดของหน้าบัน มีลักษณะเป็นเหมือนจะงอยปากของครุฑหรือศีรษะของพญานาค
- ใบระกา คือส่วนที่เรียงต่อลงมาจากช่อฟ้าตามแนวลาดของสันหลังคา สื่อถึงปีกของครุฑหรือเกล็ดของพญานาค
- หางหงส์ คือส่วนที่อยู่ปลายสุดของสันหลังคา มีลักษณะที่งอนช้อยสวยงาม เปรียบดังหางของพญานาคหรือหงส์
โดยสรุป ซุ้มประตูทางเข้าพระอุโบสถวัดแจ้งบางคล้า ถือเป็นงานสถาปัตยกรรมที่งดงามและมีความหมายลึกซึ้งในทุกรายละเอียด การออกแบบที่สง่างามและสีสันที่โดดเด่นนี้ ทำหน้าที่เป็นเครื่องนำสายตาและเตรียมจิตใจของผู้มาเยือนให้พร้อมสำหรับความวิจิตรตระการตาขององค์พระอุโบสถที่อยู่เบื้องหลังได้อย่างสมบูรณ์แบบ

ลักษณะวิหารผ่านมุมมอง ๓ ระยะ
วิหารหลังนี้เป็นสถาปัตยกรรมไทยประยุกต์ที่งดงาม เปี่ยมด้วยเอกลักษณ์และความศรัทธา สะท้อนผ่านองค์ประกอบต่างๆ ที่ผสมผสานกันอย่างลงตัว
๑. มุมมองระยะไกล (Long Shot)
เมื่อมองจากระยะไกล จะเห็นภาพรวมของวิหารที่โดดเด่นสง่างาม ตั้งตระหง่านอยู่บนลานโล่งสะอาดตา โครงสร้างหลังคาทรงจั่วสูงซ้อนกันเป็นชั้นลดหลั่นลงมา มุงด้วยกระเบื้องสีเข้มขับให้ตัววิหารสีขาวดูสว่างและโดดเด่นยิ่งขึ้น รูปทรงโดยรวมมีความสมดุลและงดงาม ชี้ชวนให้ผู้มาเยือนเกิดความรู้สึกสงบและเลื่อมใสตั้งแต่แรกเห็น
๒. มุมมองระยะกลาง (Medium Shot)
ในระยะที่ใกล้เข้ามา จะเห็นรายละเอียดของตัวอาคารได้ชัดเจนยิ่งขึ้น วิหาร กว้าง ๕.๙๕ เมตร ยาว ๙.๙๐ เมตร สร้างเมื่อ พ.ศ.๒๕๑๘ ตัววิหารตั้งอยู่บนฐานยกสูง หน้าบันของวิหารโดดเด่นด้วยลวดลายแกะสลักปิดทองอย่างประณีตบนพื้นหลังสีขาว ตัดกับผนังสีขาวเรียบของตัววิหารที่มีการประดับซุ้มหน้าต่างอย่างสวยงาม ก่อให้เกิดมิติและแสดงถึงฝีมือเชิงช่างที่น่าชื่นชม
๓. มุมมองระยะใกล้ (Close-up)
เมื่อพินิจในระยะใกล้ จะเห็นถึงความวิจิตรบรรจงขององค์ประกอบตกแต่งต่างๆ ได้อย่างเต็มตา ไม่ว่าจะเป็น “ช่อฟ้า” ที่ปลายบนสุดของหน้าบัน ซึ่งมีลักษณะโค้งงอนอ่อนช้อย, “ใบระกา” ที่เรียงประดับอยู่ตามแนวสันหลังคา และ “หางหงส์” ที่ปลายล่างสุดของชายคา ล้วนเป็นเครื่องยอดของสถาปัตยกรรมไทยที่สมบูรณ์แบบ ลวดลายบนหน้าบันเผยให้เห็นความละเอียดของศิลปะปูนปั้นหรือไม้แกะสลักปิดทองที่เป็นลายกนกหรือเรื่องราวทางพุทธศาสนา สะท้อนถึงความประณีตและความตั้งใจในการสร้างสรรค์พุทธสถานแห่งนี้ให้งดงามสมคุณค่า

พุทธลักษณะพระประธานในวิหารวัดแจ้ง บางคล้า
องค์พระประทานในวิหาร วัดแจ้ง องค์พระประทานนี้ เกิดขึ้นจากการรวบรวมเอาส่วนที่ดีที่ยังสมบูรณ์ จากพระพุทธที่ชำรุดหลายๆองค์ในสมัยกรุงศรีอยุธยา แล้วนำมาประกอบกันเป็นพระพุทธรูปเนื้อหินขัดทราย พระพุทธรูปองค์นี้จึงไม่เพียงแต่เป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวบางคล้า แต่ยังเป็นประจักษ์พยานแห่งกาลเวลาและแรงศรัทธาที่สืบทอดมาอย่างยาวนาน
๑. มุมมองระยะไกล (ประดิษฐานในวิหาร)
เมื่อมองจากระยะไกล จะเห็นองค์พระประธานประดิษฐานอย่างโดดเด่นเป็นสง่าอยู่ภายในวิหาร ซึ่งมีบานประตูไม้สีขาวเขียนลายรดน้ำปิดทองเป็นลายกนกอย่างวิจิตรตระการตา การประดิษฐานในลักษณะนี้ช่วยขับเน้นให้องค์พระประธานมีความศักดิ์สิทธิ์และน่าเลื่อมใสยิ่งขึ้น เปรียบดั่งการประทับอยู่ท่ามกลางพุทธอาสน์อันงดงาม พร้อมด้วยพระพุทธรูปองค์อื่นๆ รายล้อมอยู่เบื้องหน้า สร้างบรรยากาศที่สงบและเปี่ยมด้วยพลังศรัทธา
๒. มุมมองด้านหน้า (พระพักตร์และพุทธศิลป์)
ในมุมมองด้านหน้า เราจะเห็นพุทธลักษณะอันสมบูรณ์ขององค์พระได้อย่างชัดเจน เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ประทับนั่งสมาธิราบบนฐานชุกชีสีแดง พระหัตถ์ซ้ายวางหงายบนพระเพลา (ตัก) พระหัตถ์ขวาคว่ำลงบนพระชานุ (เข่า) นิ้วพระหัตถ์ชี้ลงพื้นดิน พระพักตร์อิ่มเอิบ พระเนตรทอดต่ำอย่างสงบ พระโอษฐ์แย้มเพียงเล็กน้อย เปี่ยมด้วยพระเมตตา ตามแบบพุทธศิลป์สมัยอยุธยา พระเกศาเป็นก้นหอย มีพระอุษณียะ (มวยผม) นูนสูง และเปลวรัศมีอยู่บนยอดสุด องค์พระลงรักปิดทองคำเหลืองอร่ามงดงามจับตา และมีการนำผ้าสบงจีวรมาห่มคลุมทับอีกชั้นหนึ่ง แสดงถึงความเคารพสักการะอย่างสูงสุด
๓. มุมมองด้านหลัง (ร่องรอยแห่งประวัติศาสตร์)
สิ่งที่น่าอัศจรรย์ใจที่สุดเมื่อได้พิจารณาจากด้านหลังขององค์พระ คือการได้เห็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ปรากฏบนพื้นผิวขององค์พระอย่างชัดเจน จะเห็นร่องรอยการเชื่อมต่อของชิ้นส่วนหินทรายบริเวณ”บั้นพระองค์” หรือ “พระกฤษฎี”(เอว) ซึ่งเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ที่สอดคล้องกับประวัติความเป็นมาขององค์พระ ที่เกิดจากการประกอบสร้างชิ้นส่วนพระพุทธรูปโบราณเข้าด้วยกัน ร่องรอยเหล่านี้จึงมิใช่ตำหนิ แต่เป็นเสมือน “บาดแผลแห่งประวัติศาสตร์” ที่บอกเล่าเรื่องราวการเดินทางผ่านกาลเวลาและความพยายามในการธำรงรักษาพุทธศิลป์อันล้ำค่าไว้ให้คนรุ่นหลังได้สักการะสืบไป

รูปปั้นกินรี วัดแจ้งบางคล้าไม่ปรากฏหลักฐานว่าสร้างขึ้นในปีใด
กินนรและกินรี อมนุษย์ผู้งดงามแห่งป่าหิมพานต์
ในดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์แห่งป่าหิมพานต์เชิงเขาไกรลาศ เป็นที่อาศัยของเหล่าอมนุษย์ในเทพปกรณัมที่รู้จักกันในนาม กินนร (เพศผู้) และ กินรี (เพศเมีย) สิ่งมีชีวิตครึ่งมนุษย์ครึ่งสกุณาเหล่านี้ มีลักษณะเด่นคือร่างกายท่อนบนเป็นมนุษย์รูปงาม ส่วนท่อนล่างลงไปเป็นนกที่มีขาและกรงเล็บแข็งแรง พร้อมด้วยปีกที่สามารถโบยบินไปในฟากฟ้าได้อย่างอิสระ
ตามตำนานที่สืบทอดมาจากความเชื่อในอินเดียโบราณ เหล่ากินนรและกินรีขึ้นชื่อในเรื่องของความสามารถด้าน ดนตรี การขับร้อง และการร่ายรำที่งดงามอ่อนช้อย อย่างหาที่เปรียบมิได้ พวกเขาจึงมักถูกยกให้เป็นสัญลักษณ์แห่งความรักอันบริสุทธิ์ ความงาม และศิลปะแขนงต่างๆ
บทบาทในวัฒนธรรมไทย
สำหรับในวัฒนธรรมไทย กินนรและกินรีได้หยั่งรากลึกและปรากฏอย่างแพร่หลายในงานศิลปะและวรรณคดีมากมาย
- ด้านวรรณคดี เรื่องราวของกินรีที่โดดเด่นและเป็นที่รู้จักมากที่สุดคือ นางมโนราห์ หนึ่งในเจ็ดธิดาท้าวทุมราชผู้เป็นกินรี ซึ่งถูกพรานบุญจับตัวไปถวายพระสุธน จนเกิดเป็นตำนานรักอมตะในวรรณคดีเรื่อง “พระสุธน-มโนราห์”
- ด้านศิลปกรรม ภาพของกินนรและกินรีที่กำลังร่ายรำหรือบรรเลงดนตรีนั้น ปรากฏอย่างแพร่หลายในงานศิลปกรรมไทยแขนงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น จิตรกรรมฝาผนัง ตามวัดวาอาราม งานประติมากรรม และ ลวดลายประดับทางสถาปัตยกรรม เช่น ช่อฟ้า ใบระกา หรือคันทวย ซึ่งล้วนสะท้อนถึงความงามในอุดมคติที่ผูกพันกับความเชื่อทางศาสนาและความเป็นไทยมาอย่างยาวนาน

ท้าวเวสสุวรรณองค์เก่า ประดิษฐานอยู่ข้างอุโบสถทางด้านทิศใต้ ยืนหันหน้าเขาหาอุโบสถ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าสร้างขึ้นในปีใด

ท้าวเหยี่ยบหิบสมบัติด้านขวาของท้าวเวสสุวรรณ
ท้าวเหยี่ยบหิบสมบัติด้านหลังของท้าวเวสสุวรรณ
ท้าวเหยี่ยบหิบสมบัติด้านซ้ายของท้าวเวสสุวรรณ

ทางวัดแจ้งได้สร้างท้าวเวสสุวรรณสามขา ขึ้นมาใหม่ มีลวดลายสวยงาม ขาหลังเหยียบหีบสมบัติ หีบสมบัติเป็นสัญลักษณ์แห่งความมั่ง ร่ำรวย ขาหลังที่เหยียบหีบสมบัติไว้ เป็นสัญลักษณ์แห่งความมั่นคงและอุดมด้วยโชคลาภ
ท้าวเวสสุวรรณ เป็นหนึ่งในท้าวจตุโลกบาล ที่ทำหน้าที่ปกปักรักษาทิศทั้ง ๔ ในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา แบ่งออกเป็น ๔ ส่วน โดยท้าวเวสสุวรรณ ประจำทิศเหนือ และยังมีเทพอื่นอีก ๓ องค์คือ ท้าววิรุฬหก ประจำทิศใต้ ท้าวธตรฐ หรือพระอินทร์ ประจำทิศตะวันออก และท้าววิรูปักษ์ ประจำทิศตะวันตก
ท้าวเวสสุวรรณมหาราช เป็นเทพเจ้าแห่งความมั่งคั่งร่ำรวย สัญลักษณ์แห่งมหาเศรษฐี อาทิ ท้าวรัตคัน ผู้มีเพชรเต็มพุง ท้าวกุเวรรัตนบดีผู้เป็นใหญ่ในทรัพย์ ท้าวธเณศวรเป็นเจ้าแห่งทรัพย์ ท้าวเวสสุวรรณยิ่งด้วยทอง ท้าวเวสสุวรรณ เป็นเทพอสูรที่มีอำนาจปกปักรักษา มีบทบาทปกครองภูตผีปิศาจที่เกเร มีอำนาจทางด้านการเงิน เพราะเป็นผู้รักษาขุมทรัพย์ของแผ่นดิน เป็นมหาเทพแห่งความมั่งคั่งสมบูรณ์ มีอำนาจในการประทานทรัพย์แก่ผู้ประพฤติปฏิบัติดี ผู้ใดหวังความเจริญในลาภยศ ทรัพย์สินเงินทอง อำนาจวาสนาบารมี ให้บูชารูปท้าวเวสสุวรรณหรือท้าวกุเวร
ท้าวเวสสุวรรณที่ทั้งหมด ๔ ปาง คือ
๑. ปางพรหมาสูติเทพ ปางนี้จะเป็นเทพอยู่บนสวรรค์ชั้นพรหม รูปกายองค์ท่านจะสีทอง และสวมใส่ภูษาสีทองเช่นกัน อำนวยชัยให้พรแก่ผู้ที่มาขอในเรื่องโชคลาภเงินทองและสุขภาพ
๒. ปางจาตุมหาราช เป็นปางที่เราคุ้นเคยกันดี เป็นยักษ์ร่างใหญ่ ดูน่ายำเกรง ซึ่งปางนี้รูปกายองค์ท่านจะสีเขียวออกดำ สวมใส่ภูษาสีเขียว ปางนี้จะปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย คุ้มครองให้แคล้วคลาดปลอดภัย หากใครกำลังดวงตก หรือมีสิ่งชั่วร้ายครอบงำ เจ็บป่วยอย่างหาสาเหตุไม่ได้ และต้องการหาเงินได้คล่องเงินทองไม่รั่วไหล แนะนำให้บูชา กราบไหว้ขอพรท้าวเวสสุวรรณปางยักษ์นี้
๓. ปางเทพบุตรสูติเทพ ปางนี้จะเป็นเทพบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ รูปกายองค์ท่านจะสีทอง สวมใส่ภูษาสีแดง อำนวยชัยให้พรแก่ผู้ที่มาขอในเรื่องความรัก คู่ครองความปรารถนาต่างๆและอำนาจบารมี
๔. ปางมนุษย์ ปางนี้จะช่วยให้ดำเนินชีวิตราบรื่น ทำสิ่งใดไม่มีอุปสรรค
ลักษณะของท้าวเวสสุวรรณ คือ เป็นยักษ์สามขา(เนื่องจากถือไม้กระบองยาว อยู่หว่างขา) มีสี่กรพระวรกายสีขาว สวมอาภรณ์งดงามมีมงกุฎเป็นน้ำเต้าทรงอยู่พระเศียร ร่างกายกำยำดูแข็งแรง รูปร่างสมส่วน มือขวาถือกระบอกยาว
หน้าที่ของท้าวเวสสุวรรณมหาราช คือ การดูแลปกป้องคุ้มครองพระพุทธศาสนา ปกป้องดูแลแก่ผู้ปฎิบัติสมาธิกรรมฐาน ขับไล่ภูติผีปิศาจวิญญาณร้ายแก้เสนียดอัปมงคลคุณไสยต่างๆ เรียกว่าทั้งกันทั้งแก้ก็ได้หมด หากผู้ใดบูชาท่านด้วยความศรัทธาจะประสบแต่ความโชคดีมีทรัพย์ ตลอดจนพ้นภัยจากบรรดาภูติผีปิศาจทั้งหลาย
ในตำราโบราณได้กล่าวไว้ว่าผู้ใดต้องการ ความเจริญในลาภยศ ทรัพย์สินเงินทอง อำนาจวาสนา สูงสุดทางมหาเศรษฐีมีทรัพย์ ลาภยศ สรรเสริญสุข ไหลมาไม่ขาดสาย และขจัด ภูตผีปีศาจ สิ่งอัปมงคลไม่กล้าเข้ามารบกวน และช่วยบันดาลโชคลาภโภคทรัพย์ให้แก่ผู้บูชา ให้บูชาท้าวเวสสุวรรณ และสวดคาถาท้าวเวสสุวรรณเป็นประจำ พร้อมปฏิบัติแต่สิ่งที่ดี มีคุณธรรมอยู่เสมอ
สรุปได้ว่า ถ้าใครศรัทธาอย่างมั่นคง บูชาอยู่เป็นประจำ ก็จะทำให้อุดมด้วยโชคลาภ สุขภาพดี มีอำนาจ สามารถหาเงินได้ง่ายได้คล่อง

จากภาพคือรูปปั้นของ เงาะป่า และ นางรจนา ซึ่งเป็นตัวละครเอกฝ่ายชายและฝ่ายหญิงจากวรรณคดีเรื่อง “สังข์ทอง” อันเป็นบทพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ ๒) โดยมีที่มาจากสุวรรณสังข์ชาดก ซึ่งเป็นหนึ่งในนิทานชาดกนอกนิบาตครับ
เรื่องราวความเป็นมาของทั้งสองมีความผูกพันกันด้วยบุพเพสันนิวาสและคุณงามความดีที่อยู่เหนือรูปกายภายนอก ดังนี้
ความเป็นมาของ “เงาะป่า” (พระสังข์)
“เงาะป่า” คือร่างจำแลงของ พระสังข์ หรือ สังข์ทอง ตัวเอกของเรื่อง
- กำเนิดในหอยสังข์ พระสังข์ถือกำเนิดในหอยสังข์จากพระมเหสีของท้าวยศวิมล ทำให้พระสนมเอกเกิดความอิจฉาและใส่ร้ายว่าเป็นกาลกิณี จนทั้งสองแม่ลูกถูกขับไล่ออกจากเมือง
- เติบโตกับนางยักษ์ พระสังข์และพระมารดาไปอาศัยอยู่กับตายาย ต่อมานางยักษ์พันธุรัตน์ได้พบพระสังข์จึงนำไปเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรมด้วยความรักใคร่
- ได้ของวิเศษและรูปเงาะ วันหนึ่งพระสังข์ได้แอบเข้าไปในเขตหวงห้ามของนางพันธุรัตน์ และได้ชุบตัวในบ่อทองจนมีกายเป็นสีทองอร่าม พร้อมทั้งได้ของวิเศษคือ รูปเงาะ สำหรับสวมเพื่อปลอมตัว, เกือกแก้ว ที่พาเหาะเหินเดินอากาศได้ และ ไม้เท้า เมื่อรู้ว่าแม่บุญธรรมเป็นยักษ์ พระสังข์จึงสวมรูปเงาะแล้วใช้เกือกแก้วหนีออกมา
รูปเงาะที่พระสังข์สวมใส่นั้นมีลักษณะอัปลักษณ์ ผมหยิก ตัวดำ เหมือนคนป่า แต่ภายในนั้นคือเจ้าชายผู้มีรูปงามและมีกายเป็นทองคำ
ความเป็นมาของ “นางรจนา”
นางรจนาเป็นพระธิดาองค์สุดท้องในจำนวนเจ็ดองค์ของ ท้าวสามล ผู้ครองเมืองสามล
- พระธิดาผู้มีปัญญาและญาณวิเศษ: นางรจนาเป็นผู้ที่มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด และมีความพิเศษกว่าพี่สาวทั้งหกคน คือมี “ดวงตาเห็นธรรม” หรือดวงตาที่สามารถมองทะลุเปลือกนอกเข้าไปเห็นคุณงามความดีและบุญญาธิการที่แท้จริงของบุคคลได้ ซึ่งเป็นผลจากบุญกรรมที่เคยทำร่วมกับพระสังข์มาแต่อดีตชาติ
การพบกันและการเสี่ยงทายเลือกคู่
เรื่องราวของทั้งสองมาบรรจบกันในตอนที่สำคัญที่สุดตอนหนึ่งของเรื่อง คือ “ตอนรจนาเลือกคู่”
- พิธีเลือกคู่ ท้าวสามลได้จัดพิธีให้พระธิดาทั้งเจ็ดองค์เลือกคู่ครอง โดยเชิญเจ้าชายจากเมืองต่างๆ มาให้เลือก แต่ไม่มีใครเป็นที่พอใจของนางรจนาเลย
- การตัดสินใจของรจนา เมื่อไม่มีเจ้าชายองค์ใดถูกเลือก ท้าวสามลจึงกริ้วและรับสั่งให้ไปตาม “เจ้าเงาะ” ที่อาศัยอยู่ปลายนาให้เข้ามาในวังเพื่อให้พระธิดาเลือกด้วยความประชดประชัน
- การมองเห็นรูปทอง ขณะที่ทุกคนเห็นเพียงชายรูปร่างอัปลักษณ์ในชุดเงาะป่า แต่นางรจนากลับใช้ดวงตาพิเศษของนางมองเห็น รูปทองที่งดงาม ของพระสังข์ที่ซ่อนอยู่ภายใน นางจึงตัดสินใจเสี่ยงพวงมาลัยเลือกเจ้าเงาะเป็นคู่ครอง ท่ามกลางความตกตะลึงและความไม่พอใจของท้าวสามลและทุกคนในวัง
บทสรุปและข้อคิด
หลังจากที่นางรจนาเลือกเจ้าเงาะ ท้าวสามลโกรธมากและได้ขับไล่ทั้งสองไปอยู่กระท่อมปลายนานา พร้อมทั้งหาทางกลั่นแกล้งเจ้าเงาะด้วยการท้าทายให้ทำภารกิจต่างๆ ที่คนธรรมดาทำไม่ได้ เช่น หาเนื้อหาปลามาถวาย ซึ่งพระสังข์ก็ทำได้สำเร็จทุกครั้งด้วยความช่วยเหลือของเทวดา
ในท้ายที่สุด เมื่อพระอินทร์แปลงกายลงมาท้าตีคลี (กีฬาชนิดหนึ่ง) กับท้าวสามล ไม่มีเขยคนใดสู้ได้ พระสังข์จึงต้องถอดรูปเงาะออก เผยให้เห็นกายทองที่แท้จริงเพื่อลงแข่งและเอาชนะพระอินทร์ได้สำเร็จ ท้าวสามลจึงยอมรับในตัวพระสังข์ และเรื่องราวก็จบลงด้วยความสุข
เรื่องราวของเงาะป่าและนางรจนาจึงเป็นตำนานความรักที่ให้ข้อคิดสำคัญว่า “คุณค่าที่แท้จริงของคนไม่ได้อยู่ที่รูปลักษณ์ภายนอก แต่อยู่ที่จิตใจและคุณงามความดีภายใน” เฉกเช่นที่นางรจนามองเห็นรูปทองของพระสังข์ที่ซ่อนอยู่ใต้รูปเงาะที่อัปลักษณ์นั่นเอง

จุดถ่ายรูป
