วัดโพรงอากาศ: พุทธสถานแห่งศรัทธากับเจดีย์สีทองอันโอ่อ่า
วัดโพรงอากาศ เป็นวัดราษฎร์ในสังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ตั้งอยู่ในตำบลโพรงอากาศ อำเภอบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา ปัจจุบันมี เจ้าอธิการสมชาย พุทธสโร ดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาส
ประวัติการก่อตั้งและสถาปัตยกรรมโดดเด่น
วัดโพรงอากาศสร้างขึ้นเมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๒๐ โดยมีจุดเริ่มต้นจากศรัทธาของชาวบ้านที่มีต่อ พระอาจารย์สมชาย พุทฺธสโร ในคราวที่ท่านออกธุดงค์ ชาวบ้านจึงร่วมกันบริจาคที่ดินบริเวณตำบลโพรงอากาศ อำเภอบางน้ำเปรี้ยว รวมเนื้อที่ทั้งหมด ๔๘ ไร่
พระอาจารย์สมชาย พุทฺธสโร ได้เริ่มดำเนินการก่อสร้างอุโบสถในปีพุทธศักราช ๒๕๓๙ อุโบสถหลังใหญ่ที่สร้างแล้วเสร็จมีลักษณะเป็น ทรงมหาเจดีย์สีทองอร่าม โดยได้รับแรงบันดาลใจจากสถาปัตยกรรมของทัชมาฮาล ประเทศอินเดีย ตัวอุโบสถโดดเด่นด้วยการออกแบบเป็นเจดีย์ ๓ องค์ โดยมีองค์กลางเป็นพระสถูปใหญ่ และมีพระสถูปบริวารอยู่ด้านข้าง
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในวัด
ภายในวัดโพรงอากาศยังมี อุทยานพระพิฆเนศ ซึ่งประดิษฐาน องค์พระพิฆเนศปางนั่งประทานพรองค์ใหญ่ ที่สร้างขึ้นโดยใช้เสาทั้งหมด ๑๙๖ ต้น นอกจากนี้ วัดโพรงอากาศยังเป็นสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ที่ประดิษฐาน พระบรมสารีริกธาตุ ที่อัญเชิญมาจากประเทศอินเดีย ให้พุทธศาสนิกชนได้กราบไหว้บูชา
พระอุโบสถมหาเจดีย์: สถาปัตยกรรมหนึ่งเดียว แรงบันดาลใจจากทัชมาฮาล
พระอุโบสถมหาเจดีย์ โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมอันแปลกตาและไม่เหมือนใคร โดยมีแนวคิดหลักมาจาก ทัชมาฮาล ประเทศอินเดีย
อุโบสถแห่งนี้ถูกออกแบบให้เป็น เจดีย์ ๓ องค์ โดยองค์กลางเป็นพระสถูปใหญ่ และมีพระสถูปบริวารขนาบข้าง ๒ องค์ สื่อถึงความยิ่งใหญ่และสง่างาม
ตัวเจดีย์มีลักษณะเป็น ทรงระฆังคว่ำ ตั้งอยู่บนฐานสูงขนาดใหญ่ ฐานชั้นล่างทำเป็นใต้ถุนโล่ง ซึ่งใช้เป็น ศาลาการเปรียญ สำหรับประกอบพิธีกรรมทางศาสนา เช่น การฟังเทศน์ฟังธรรม และการกราบสักการะองค์พระ
ส่วนด้านบนของฐานเป็นลานกว้างรองรับองค์เจดีย์ โดย เจดีย์องค์ใหญ่ที่อยู่ตรงกลาง ทำหน้าที่เป็นทั้งส่วนของ อุโบสถและวิหาร ในขณะที่ เจดีย์บริวารขนาดย่อม ๒ องค์ ตั้งขนาบอยู่ด้านข้างอย่างสมมาตร
ชวนเที่ยววัดโพรงอากาศ: สายบุญ สายมู ไม่ควรพลาด!
สวัสดีครับทุกคน! ใครกำลังมองหาวัดสวย ๆ บรรยากาศดี ๆ แถมมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้กราบไหว้เสริมสิริมงคล ต้องมาที่ วัดโพรงอากาศ บางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา เลยครับ!
ทำไมต้องมาวัดโพรงอากาศ?
วัดนี้ไม่เหมือนใครจริง ๆ ครับ สิ่งที่โดดเด่นสะดุดตาตั้งแต่แรกเห็นคือ พระอุโบสถมหาเจดีย์สีทองอร่าม ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากทัชมาฮาลของอินเดีย สวยงามอลังการมาก ๆ ถ่ายรูปมุมไหนก็ปัง! ตัวเจดีย์มี ๓ องค์ องค์กลางเป็นอุโบสถและวิหาร ส่วนฐานด้านล่างก็เป็นศาลาการเปรียญให้เราได้นั่งฟังธรรม หรือจะกราบนมัสการสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ได้เช่นกัน
นอกจากความสวยงามของสถาปัตยกรรมแล้ว ที่นี่ยังเป็นที่ประดิษฐาน พระบรมสารีริกธาตุ ที่อัญเชิญมาจากอินเดียด้วยนะครับ ใครอยากมาสักการะเสริมบุญ เพิ่มสิริมงคลให้กับชีวิต ห้ามพลาดเลย!
และที่สำคัญสำหรับสายมูทั้งหลาย ภายในวัดยังมี อุทยานพระพิฆเนศ พร้อมองค์พระพิฆเนศปางนั่งประทานพรองค์ใหญ่ให้เราได้ขอพร เสริมความปังในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน เงิน ความรัก หรือโชคลาภ รับรองว่าสมหวัง!
มาง่าย เดินทางสะดวก!
วัดโพรงอากาศตั้งอยู่ที่ตำบลโพรงอากาศ อำเภอบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา เดินทางไม่ยากเลยครับ จะขับรถมาเองก็ได้ หรือจะมากับเพื่อน ๆ ก็สะดวกสบาย
เตรียมตัวให้พร้อม แล้วมาสัมผัสความงามและความศักดิ์สิทธิ์ที่ วัดโพรงอากาศ ด้วยตัวเองนะครับ! รับรองว่าได้ทั้งบุญ ได้ทั้งรูปสวย ๆ กลับไปเพียบแน่นอน! แล้วเจอกันนะครับ!

ป้ายทางเข้าวัดโพรงอากาศ

ภาพมุมสูงวัดโพรงอากาศ
มองจากมุมสูงลงมาก็จะเห็น วัดโพรงอากาศ แผ่ขยายอาณาบริเวณกว้างขวางเลยทีเดียว รอบๆ วัดนี่เขียวขจี สบายตาไปด้วยทุ่งนาและต้นไม้ใบหญ้า มองตรงกลางไปก็จะเจอกับ พระอุโบสถมหาเจดีย์สีทอง สวยเด่นเป็นสง่ามากๆ เหมือนกับจำลองทัชมาฮาลมาไว้ที่นี่เลย ตัวเจดีย์สีทองอร่าม มีตั้ง ๓ องค์แน่ะ องค์ตรงกลางก็ใหญ่สุด ด้านล่างเหมือนจะเป็นศาลาให้คนได้มาทำบุญทำกิจกรรมกัน รอบๆ ก็ดูสะอาดสะอ้าน จัดแต่งไว้อย่างดี
แล้วมองไปทางซ้ายมือหน่อยก็จะเห็น องค์พระพิฆเนศสีชมพู องค์ใหญ่เบิ้มเลย เด่นมาแต่ไกล ใครเห็นก็ต้องสะดุดตา บริเวณนั้นก็ดูเหมือนจะมีอาคารอื่นๆ ประกอบอยู่ด้วย
ตรงกลางระหว่างเจดีย์ทองกับพระพิฆเนศก็มี สระน้ำ เล็กๆ ช่วยให้วัดดูร่มเย็นขึ้นเยอะเลย
มองไปรอบๆ อีกทีก็จะเห็นว่าวัดนี้อยู่ท่ามกลางธรรมชาติจริงๆ มีทุ่ง มีต้นไม้ มองไกลๆ ก็เห็นบ้านคนเห็นถนนบ้าง แสดงว่าวัดก็ไม่ได้ไกลจากชุมชนเท่าไหร่
สรุปว่าภาพนี้ทำให้เห็นวัดโพรงอากาศในมุมกว้างๆ ที่สวยงามและมีเอกลักษณ์มากๆ ทั้งเจดีย์สีทองอร่ามและองค์พระพิฆเนศสีชมพูเป็นอะไรที่โดดเด่นสุดๆ ใครเห็นก็ต้องอยากมาเที่ยวชมด้วยตาตัวเองแน่นอน

ภาพมุมสูงด้านหน้าองค์พระเจดีย์
จากมุมมองสูงตระหง่าน ภาพเบื้องหน้าเผยให้เห็นทัศนียภาพอันงดงามน่าอัศจรรย์ของอุโบสถเจดีย์สีทองอร่าม ที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ท่ามกลางผืนดินอันเขียวขจีและผืนน้ำอันกว้างใหญ่ องค์เจดีย์ประธานทรงระฆังคว่ำขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานของพระอุโบสถนั้น เปล่งประกายสีทองคำสะท้อนแสงตะวันอย่างเจิดจ้า ตัดกับท้องฟ้าสีครามสดใสที่ประดับด้วยปุยเมฆสีขาวบริสุทธิ์
ยอดเจดีย์แหลมสูงเสียดฟ้าแสดงถึงพลังแห่งศรัทธา ขณะที่ตัวอาคารบนฐานศาลาปฏิบัติธรรมสีขาวสะอาดตา ถูกขนาบข้างด้วยเจดีย์บริวารสีทองอีกสององค์ในรูปแบบเดียวกัน สร้างองค์ประกอบที่สมดุลและสง่างาม ลานประทักษิณสีขาวโอบล้อมองค์เจดีย์ไว้ เชิญชวนให้ผู้มาเยือนได้สัมผัสกับความสงบอย่างใกล้ชิด
เบื้องหลังของศาสนสถานอันวิจิตรนี้ คือทัศนียภาพของทุ่งนาสีเขียวชอุ่มที่ทอดยาวไปไกลสุดสายตา สะท้อนถึงความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่โดยรอบ ภาพนี้จึงไม่ได้เป็นเพียงการบันทึกสถาปัตยกรรมทางศาสนาที่งดงามเท่านั้น แต่ยังเป็นการถ่ายทอดความสงบ ความศรัทธา และความรุ่งเรืองที่ผสมผสานกันอย่างลงตัวระหว่างสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นกับความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติได้อย่างสมบูรณ์แบบ

อุโบสถเจดีย์ มีท้าวเวสสุวรรณล้อมรอบอยู่ทั้งแปดทิศ
อุโบสถของวัดโพรงอากาศ อำเภอบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งมีลักษณะทางสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นและสวยงามเป็นอย่างยิ่ง สามารถอธิบายลักษณะเด่นต่างๆ ได้ดังนี้
ลักษณะทางสถาปัตยกรรมที่โดดเด่น
๑. การผสมผสานระหว่างอุโบสถและเจดีย์
- ลักษณะที่พิเศษและเป็นเอกลักษณ์ที่สุดของอาคารหลังนี้ คือการสร้าง พระมหาเจดีย์ทรงระฆังคว่ำสีทองขนาดใหญ่ ไว้บนตัวอุโบสถโดยตรง ซึ่งต่างจากวัดโดยทั่วไปที่จะสร้างอุโบสถและเจดีย์แยกจากกัน ทำให้เกิดเป็นสถาปัตยกรรมที่งดงามแปลกตาและยิ่งใหญ่ตระการตา
- ตัวอุโบสถ (ส่วนฐาน) เป็นอาคารทรงไทยประยุกต์ มีผนังสีขาว ตัดกับลวดลายและขอบสีทอง มีหลังคาทรงจัตุรมุขซ้อนกัน ๓ ชั้น ประดับด้วยช่อฟ้า ใบระกา และหางหงส์อย่างครบถ้วนตามแบบแผนสถาปัตยกรรมไทยที่อ่อนช้อยงดงาม
- องค์พระมหาเจดีย์ (ส่วนบน) เป็นเจดีย์ทรงระฆังคว่ำ (ศิลปะลังกา) สีทองอร่ามขนาดมหึมา มีบัลลังก์และปล้องไฉนต่อขึ้นไปเป็นยอดแหลมสูงสง่า ทำให้มองเห็นได้แต่ไกล
๒. ท้าวเวสสุวรรณล้อมรอบ
- จุดเด่นที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ บริเวณโดยรอบฐานของอุโบสถและมุมของกำแพง จะมี รูปปั้นองค์ท้าวเวสสุวรรณขนาดใหญ่ ประดิษฐานอยู่
- การมีท้าวเวสสุวรรณล้อมรอบนี้ มีความหมายในเชิงสัญลักษณ์คือการทำหน้าที่เป็น ทวารบาล หรือผู้พิทักษ์รักษาคุ้มครององค์อุโบสถและพระมหาเจดีย์ ซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ให้พ้นจากหมู่มาร ภูตผีปีศาจ และสิ่งชั่วร้ายทั้งปวง สอดคล้องกับบทบาทของท้าวเวสสุวรรณที่เป็นหนึ่งในท้าวจตุโลกบาลและเป็นเจ้าแห่งยักษ์
ภาพรวมและความหมาย
ภาพรวมของอุโบสถวัดโพรงอากาศให้ความรู้สึกถึง ความยิ่งใหญ่อลังการ และ ความศรัทธาอันแรงกล้า การใช้สีทองเป็นหลักตัดกับสีขาวภายใต้ท้องฟ้าสีคราม ทำให้ตัวอาคารมีความงดงามโดดเด่นอย่างมาก เป็นการผสมผสานศิลปะไทยและลังกาได้อย่างลงตัว และยังสะท้อนคติความเชื่อเรื่องเทพผู้พิทักษ์รักษาพระพุทธศาสนาผ่านรูปปั้นท้าวเวสสุวรรณได้อย่างชัดเจน จึงไม่น่าแปลกใจที่วัดแห่งนี้ได้กลายเป็นศาสนสถานและแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดฉะเชิงเทรา

ด้านหลังอุโบสถองค์เจดีย์ประดิษฐานพระประธานองค์ยืน “ปางประทานอภัย”
พระพุทธรูป “ปางประทานอภัย” มีลักษณะดังนี้
- พระหัตถ์ขวายกขึ้นระดับอก
- ฝ่ามือหันออกไปด้านหน้า
- นิ้วโป้งและนิ้วชี้แตะกันเป็นวงกลม (วิตรรกะมุทรา)
- ท่าทางนี้ไม่ใช่ลักษณะของปางห้ามญาติหรือห้ามสมุทร เพราะทั้งสองปางนั้น ฝ่ามือจะกางออกทุกนิ้ว ไม่จับเป็นวงกลม
ความเป็นมาและความหมายของ “ปางประทานอภัย”
“ปางประทานอภัย” หรือที่เรียกว่า อภัยมุทรา (Abhaya Mudra) เป็นสัญลักษณ์สากลที่หมายถึง การให้ความคุ้มครอง การปัดเป่าความกลัว และการให้ความปลอดภัย
- ความหมายเชิงสัญลักษณ์: การยกพระหัตถ์ในลักษณะนี้สื่อถึงพระมหากรุณาธิคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงประทานความสงบสุขและความปลอดภัยให้แก่สรรพสัตว์ทั้งปวง เป็นการประกาศว่า “ท่านทั้งหลายจงอย่ากลัวเลย” ผู้ที่ปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์จะพ้นจากภยันตรายทั้งปวง
- ที่มาในพุทธประวัติ: แม้จะไม่มีเหตุการณ์เดียวที่ระบุชัดเจนเหมือนปางห้ามญาติ (ที่มาจากตอนห้ามพระญาติฝ่ายพระบิดาและพระมารดาทะเลาะกันเรื่องน้ำในแม่น้ำ) แต่ปางประทานอภัยเป็นท่าทางที่พระพุทธองค์ทรงแสดงออกในหลายโอกาสเพื่อระงับเหตุและโปรดสัตว์ให้คลายจากความหวาดกลัว เช่น เมื่อครั้งทรงโปรดช้างนาฬาคิรีที่กำลังตกมันให้สงบลง เป็นต้น
โดยสรุป พระประธานยืนองค์ใหญ่องค์นี้คือ พระพุทธรูปปางประทานอภัย ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งการให้ความคุ้มครอง ความเมตตา และการปัดเป่าความกลัวให้หมดสิ้นไปนั่นเองครับ

ท้าวเวสสุวรรณยืนล้อมรอบอุโบสถองค์เจดีย์
ภาพทั้งสี่ช่องนี้ได้นำเสนอความยิ่งใหญ่อลังการของอุโบสถมหาเจดีย์แห่งวัดโพรงอากาศได้อย่างครบถ้วนทุกมุมมอง โดยมีองค์ประกอบหลักคือสถาปัตยกรรมร่วมสมัยอันโดดเด่นของตัวอุโบสถสีขาวนวล ที่ประดับประดาด้วยช่อฟ้าและลวดลายปูนปั้นสีทองอย่างวิจิตรบรรจง สร้างความประทับใจให้แก่ผู้พบเห็นได้ตั้งแต่แรกสัมผัส
แต่สิ่งที่ทำให้ศาสนสถานแห่งนี้มีเอกลักษณ์และเปี่ยมด้วยมนต์ขลัง คือการปรากฏพระองค์ขององค์ท้าวเวสสุวรรณมหาราช ซึ่งยืนตระหง่านอยู่รายล้อมพระอุโบสถเพื่อปกปักรักษาทั้งแปดทิศ ภาพที่ปรากฏแสดงให้เห็นถึงความหลากหลายขององค์ท้าวเวสสุวรรณ ทั้งในพระวรกายสีแดงเข้ม, สีทองสัมฤทธิ์, สีทองสว่าง และสีน้ำเงินเข้ม แต่ละองค์ทรงเครื่องนักรบอย่างสง่างาม ในพระหัตถ์ถือกระบองเป็นอาวุธ มั่นคงในท่วงท่าที่น่าเกรงขาม แสดงถึงพลังและบารมีในการเป็นเจ้าแห่งภูตผีและผู้พิทักษ์ขุมทรัพย์
การผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมของพระอุโบสถที่งดงามอ่อนช้อย กับความแข็งแกร่งน่าเกรงขามขององค์ท้าวเวสสุวรรณที่รายล้อมอยู่ ทำให้วัดโพรงอากาศมีทั้งความงามในเชิงพุทธศิลป์และความขรึมขลังในเชิงความเชื่อศรัทธา ภาพรวมที่ได้เห็นจึงเป็นดั่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับการคุ้มครองอย่างเข้มแข็ง มอบทั้งความอิ่มเอมใจในความงามและความรู้สึกมั่นคงปลอดภัยให้แก่ผู้มาเยือน

หลวงพ่อโสธรจำลอง พระประธานภายในอุโบสถองค์เจดีย์
ภายในโถงอุโบสถอันโอ่โถงและเงียบสงบ ภาพเบื้องหน้าคือศูนย์รวมแห่งศรัทธาอันงดงามที่ถูกจัดวางอย่างสมมาตรและเปี่ยมด้วยความหมาย องค์พระประธานหลวงพ่อโสธรจำลองขนาดใหญ่ประดิษฐานโดดเด่นเป็นสง่าอยู่บนฐานชุกชี เปล่งประกายด้วยสีทองอร่าม แสดงถึงพุทธลักษณะอันเปี่ยมด้วยเมตตาและความสงบ เบื้องหน้าคือองค์จำลองขนาดรองลงมาที่ตั้งอยู่ในระดับสายตาของผู้สักการะภายใต้เศวตฉัตรอันวิจิตร
ขนาบข้างซ้ายและขวาคือพระอัครสาวก พระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะ ในท่ายืนสงบนิ่งเพื่อแสดงความเคารพ องค์ประกอบทั้งหมดถูกโอบล้อมด้วยเสาทรงกลมสีขาวขนาดใหญ่ที่ตั้งตระหง่านเป็นแถวแนว ซึ่งส่วนหัวของเสาประดับด้วยลวดลายไทยประยุกต์สีทองอันงดงาม ฉากหลังขับเน้นให้องค์พระดูโดดเด่นยิ่งขึ้นด้วยผนังที่มีลวดลายละเอียดเป็นประกายระยิบระยับ ตัดกับพื้นหินขัดมันที่สะท้อนเงาของสรรพสิ่ง สร้างมิติและความลึกให้กับโถงศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้
ภาพรวมจึงเป็นการผสมผสานอย่างลงตัวระหว่างความยิ่งใหญ่ของสถาปัตยกรรม ความงามของพุทธศิลป์ และบรรยากาศอันเปี่ยมด้วยความสงบและพลังแห่งศรัทธา ทำให้ผู้ที่ได้พบเห็นรู้สึกเลื่อมใสและจิตใจสงบลงได้อย่างน่าอัศจรรย์

ท้าวเวสสุวรรณ ยืนถือกระบองหน้าบันได ทางขึ้นไปด้านบนศาลา
บริเวณทางขึ้นสู่อุโบสถเจดีย์ชั้นบน ภาพทั้งสองฝั่งได้สะท้อนถึงความสง่างามและน่าเกรงขามของทวารบาลผู้พิทักษ์ศาสนสถานได้อย่างเด่นชัด ท้าวเวสสุวรรณขนาดใหญ่สององค์ยืนตระหง่านอย่างองอาจ ประจำอยู่ที่หน้าบันไดทางขึ้นทิศเหนือและทิศใต้ แต่ละองค์ทรงเครื่องทรงนักรบโบราณอย่างเต็มยศ ประดับด้วยลวดลายสีทองและสีต่างๆ อย่างวิจิตรบรรจง ในพระหัตถ์ทรงกระบองใหญ่ไว้มั่นคง พระพักตร์แสดงถึงพลังอำนาจและความน่าเกรงขาม ทำหน้าที่เป็นดั่งทวารบาลผู้ปกป้องคุ้มครองมิให้สิ่งชั่วร้ายย่างกรายเข้ามาในเขตพุทธสถานอันศักดิ์สิทธิ์
บันไดแต่ละขั้นที่ทอดยาวขึ้นไปนั้น เปรียบเสมือนเส้นทางสู่สรวงสวรรค์หรือการเข้าถึงพระธรรมอันสูงส่ง โดยมีราวบันไดทั้งสองข้างที่ถูกสร้างสรรค์เป็นลำตัวพญานาคอันอ่อนช้อยทว่าแข็งแกร่ง เลื้อยขนานไปกับทางขึ้นเพื่อนำทางผู้มาเยือน เสาทรงกลมขนาดใหญ่ที่ประดับลวดลายงดงามตั้งแต่โคนเสาจรดปลายเสา ทำหน้าที่เป็นโครงสร้างที่มอบทั้งความมั่นคงและความงามให้กับพื้นที่โดยรอบ
ภาพรวมของบริเวณนี้จึงไม่ใช่เป็นเพียงทางเดินขึ้นไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น แต่ยังเป็นดั่งประตูมิติที่เตรียมความพร้อมให้แก่ผู้มาเยือนได้สัมผัสถึงความยิ่งใหญ่ ความศักดิ์สิทธิ์ และความสงบที่จะได้พบเจอในเบื้องบนได้อย่างสมบูรณ์

พญานาคอยู่สองข้างบันได ทางขึ้นไปด้านบนศาลา
ภาพบันไดทางขึ้นสู่ตัวอุโบสถของวัดโพรงอากาศ ซึ่งมีราวบันไดเป็นรูป “พญานาค” ถือเป็นองค์ประกอบสำคัญทางสถาปัตยกรรมของวัดในประเทศไทย มีความหมายและประวัติความเป็นมาที่ลึกซึ้งและน่าสนใจอย่างยิ่ง
ความเป็นมาของพญานาค
พญานาค (Naga) เป็นความเชื่อดั้งเดิมที่ปรากฏทั้งในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู และถูกผสมผสานเข้ามาในพระพุทธศาสนาในภายหลัง
- ในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู: นาคเป็นเผ่าพันธุ์ของงูใหญ่ที่มีอิทธิฤทธิ์ เป็นผู้ครองนครบาดาล (โลกใต้พิภพ) มีหน้าที่ดูแลทรัพย์สมบัติในดินและแหล่งน้ำ เป็นสัญลักษณ์ของน้ำ ความอุดมสมบูรณ์ และพลังอำนาจ
- ในพระพุทธศาสนา: พญานาคมีบทบาทสำคัญในฐานะ ผู้พิทักษ์พระพุทธศาสนา เรื่องราวที่สำคัญที่สุดคือตำนานของ “พญามุจลินท์นาคราช” ซึ่งเป็นพญานาคผู้มีศรัทธาในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างแรงกล้า ในสัปดาห์ที่ ๖ หลังการตรัสรู้ ขณะที่พระพุทธองค์ทรงเสวยวิมุตติสุขใต้ต้นมุจลินท์ (ต้นจิก) ได้เกิดฝนฟ้าคะนองและพายุพัดอย่างรุนแรง พญามุจลินท์นาคราชจึงได้ขึ้นมาจากเมืองบาดาล แล้วขดตัว ๗ รอบ ล้อมพระวรกายของพระพุทธเจ้าไว้ พร้อมกับแผ่เศียรทั้ง ๗ ป้องบังลมฝนมิให้มาต้องพระวรกายของพระองค์ตลอด ๗ วัน
จากวีรกรรมครั้งนี้ พญานาคจึงได้รับการยกย่องให้เป็นสัญลักษณ์ของ ผู้พิทักษ์ ปกป้องคุ้มครองพระพุทธเจ้าและพระธรรมคำสอน
ความหมายของพญานาคที่บันไดวัด
การสร้างพญานาคไว้ที่ราวบันไดทางขึ้นสู่อาคารศักดิ์สิทธิ์ เช่น โบสถ์ หรือวิหาร มีความหมายเชิงสัญลักษณ์ที่ลึกซึ้งหลายประการ ดังนี้
- ผู้พิทักษ์รักษาสถานที่ (ทวารบาล): นี่คือความหมายที่สำคัญที่สุด พญานาคทำหน้าที่เป็นเสมือน “ทวารบาล” หรือยามผู้เฝ้าประตู คอยปกป้องคุ้มครองศาสนสถานอันศักดิ์สิทธิ์จากสิ่งชั่วร้าย ภูตผีปีศาจ หรือสิ่งอัปมงคลต่างๆ ไม่ให้เข้ามากล้ำกรายได้
- สะพานสายรุ้งเชื่อมระหว่างโลกมนุษย์และสวรรค์: ลำตัวของพญานาคที่ทอดยาวเป็นราวบันได เปรียบเสมือน “สะพาน” ที่เชื่อมระหว่างโลกมนุษย์ (ด้านล่าง) กับดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของสวรรค์หรือพุทธภูมิ (ด้านบนซึ่งเป็นที่ประดิษฐานของพระประธาน) การเดินขึ้นบันไดนาคจึงเป็นการเดินทางเชิงสัญลักษณ์จากโลกียะสู่โลกุตตระ หรือการเดินทางสู่การหลุดพ้น
- สัญลักษณ์แห่งความอุดมสมบูรณ์: พญานาคเป็นเทพแห่งน้ำ ดังนั้นการมีพญานาคที่วัดจึงเป็นการขอพรให้ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล นำมาซึ่งความอุดมสมบูรณ์แก่บ้านเมืองและแผ่นดิน
ดังนั้น พญานาคที่ราวบันไดวัดจึงไม่ได้เป็นเพียงเครื่องประดับตกแต่งเพื่อความสวยงามเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเชื่อ ความศรัทธา และคติธรรมคำสอนที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนานในวัฒนธรรมไทยครับ

พระแก้วมรกต ๓ ฤดู ฤดูร้อน ฤดูฝน ฤดูหนาว
พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร หรือ พระแก้วมรกต ในเครื่องทรงสำหรับ ๓ ฤดู ซึ่งเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองที่สำคัญที่สุดของประเทศไทย ประดิษฐานอยู่ ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) ในพระบรมมหาราชวัง (แต่ในภาพนี้ประดิษฐานอยู่ภายในศาลาอุโบสเจดีย์วัดโพรงอากาศ)
เรื่องราวความเป็นมาของทั้งองค์พระแก้วมรกตและเครื่องทรงทั้ง ๓ ฤดู มีความสำคัญและน่าสนใจอย่างยิ่ง ดังนี้
๑. ประวัติความเป็นมาขององค์พระแก้วมรกต
พระแก้วมรกตเป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ ทำจากหยกสีเขียวมรกตชิ้นเดียว มีตำนานเล่าขานสืบต่อกันมาอย่างยาวนาน แต่ประวัติที่ปรากฏชัดเจนในพงศาวดาร เริ่มต้นขึ้นในปี พ.ศ. ๑๙๗๗
- การค้นพบ: ค้นพบครั้งแรกที่เมืองเชียงราย โดยซ่อนอยู่ในพระเจดีย์องค์หนึ่งที่ถูกฟ้าผ่า ในตอนแรกองค์พระถูกพอกด้วยปูนทั่วทั้งองค์ คนจึงเข้าใจว่าเป็นพระพุทธรูปปูนปั้นธรรมดา ต่อมาปูนบริเวณพระนาสิก (จมูก) ได้กะเทาะออก ทำให้เห็นเนื้อหยกสีเขียวที่งดงามอยู่ภายใน จึงได้ทำการกะเทาะปูนออกทั้งองค์และพบว่าเป็นพระพุทธรูปหยกที่งดงามยิ่ง
- การเดินทาง: หลังจากค้นพบ พระแก้วมรกตได้ถูกอัญเชิญไปประดิษฐานยังเมืองต่างๆ หลายแห่งตามความเชื่อว่าเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ที่จะนำความเจริญรุ่งเรืองมาสู่เมืองนั้นๆ เช่น ลำปาง, เชียงใหม่, หลวงพระบาง (ลาว), เวียงจันทน์ (ลาว)
- สู่กรุงรัตนโกสินทร์: ในสมัยกรุงธนบุรี สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก (พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ ในเวลาต่อมา) ได้ไปตีเมืองเวียงจันทน์ และอัญเชิญพระแก้วมรกตกลับมายังกรุงธนบุรี และเมื่อทรงสถาปนากรุงเทพมหานครเป็นราชธานีในปี พ.ศ. ๒๓๒๕ ก็ได้โปรดเกล้าฯ ให้สร้างวัดพระศรีรัตนศาสดารามขึ้น และอัญเชิญพระแก้วมรกตมาประดิษฐานเป็นพระคู่บ้านคู่เมืองของราชอาณาจักรไทยสืบมาจนถึงปัจจุบัน
๒. ความเป็นมาของเครื่องทรง ๓ ฤดู
การสร้างเครื่องทรงถวายเป็นพุทธบูชา เป็นพระราชศรัทธาของพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี และเป็นที่มาของพระราชพิธีสำคัญที่ปฏิบัติสืบต่อกันมา
- เครื่องทรงฤดูร้อนและฤดูฝน: สร้างขึ้นในสมัย พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลที่ ๑) ทำจากทองคำประดับอัญมณีล้ำค่า
- เครื่องทรงฤดูหนาว: สร้างขึ้นในสมัย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๓) ทำให้พระแก้วมรกตมีเครื่องทรงครบทั้ง ๓ ฤดู
เครื่องทรงชุดเดิมได้ใช้งานมาเป็นเวลานาน จนกระทั่งในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (รัชกาลที่ ๙) ทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๕๐ ปี ในปี พ.ศ. ๒๕๓๙ กรมธนารักษ์ได้ขอพระบรมราชานุญาตจัดสร้างเครื่องทรงชุดใหม่ขึ้นทดแทนชุดเดิมที่ชำรุดทรุดโทรม และเป็นชุดที่ใช้ในพระราชพิธีมาจนถึงปัจจุบัน
พระราชพิธีเปลี่ยนเครื่องทรง
พระมหากษัตริย์จะเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปลี่ยนเครื่องทรงพระแก้วมรกตด้วยพระองค์เอง หรือทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ผู้แทนพระองค์ไปปฏิบัติพระราชกรณียกิจแทน ปีละ ๓ ครั้ง ดังนี้
- เครื่องทรงฤดูร้อน: ทรงเปลี่ยนในวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๔ (ประมาณเดือนมีนาคม)
- เครื่องทรงฤดูฝน: ทรงเปลี่ยนในวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ (ประมาณเดือนกรกฎาคม)
- เครื่องทรงฤดูหนาว: ทรงเปลี่ยนในวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๒ (ประมาณเดือนพฤศจิกายน
การจัดแสดง พระแก้วมรกตจำลอง ในเครื่องทรงทั้ง ๓ ฤดู เพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้ชื่นชมความงดงามของพุทธศิลป์และรำลึกถึงพระราชศรัทธาของบูรพมหากษัตริย์ไทยที่มีต่อพระพุทธศาสนา

จุดทำบุญตักบาตรพระประจำวันเกิด ภายในวิหารองค์พระเจดีย์
ภายในศาลาบุญอันสว่างไสวของวัดโพรงอากาศ ได้มีการจัดประดิษฐานองค์พระพุทธรูปประจำวันเกิดเรียงรายกันอย่างงดงามบนแท่นบูชา เพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้ร่วมสร้างกุศลตามกำลังศรัทธา โดยพระพุทธรูปแต่ละองค์แสดงถึงพุทธลักษณะในปางต่างๆ ที่เป็นมงคลสำหรับผู้ที่เกิดในแต่ละวัน ตั้งแต่ปางถวายเนตรสำหรับผู้ที่เกิดวันอาทิตย์, ปางอุ้มบาตรสำหรับวันพุธกลางวัน, ไปจนถึงปางนาคปรกอันสง่างามสำหรับวันเสาร์ เบื้องหน้าของพระพุทธรูปแต่ละองค์มีบาตรตั้งไว้ เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการทำบุญตักบาตรที่ชาวพุทธคุ้นเคย
ประเพณีการบูชาพระประจำวันเกิดนี้มีรากฐานมาจากความเชื่อโหราศาสตร์ไทยที่ผสานเข้ากับพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้ง โดยเชื่อว่าการได้สักการะบูชาพระพุทธรูปในปางที่เป็นมงคลสำหรับวันเกิดของตนนั้น จะเป็นสิริมงคลอันพิเศษ นำมาซึ่งความสุขความเจริญ และเปรียบเสมือนมีองค์พระเป็นที่พึ่งพิงคุ้มครองดวงชะตาโดยเฉพาะ การตักบาตรพระประจำวันเกิดจึงเป็นกุศโลบายอันชาญฉลาดที่ทำให้การทำบุญเป็นเรื่องใกล้ตัวและจับต้องได้ โดยอานิสงส์ที่เชื่อกันว่าจะได้รับคือการเสริมดวงชะตาตามวันเกิด ช่วยบรรเทากรรม และส่งเสริมให้ชีวิตราบรื่นปราศจากอุปสรรค
กิจกรรมนี้จะได้รับความนิยมเป็นพิเศษในงานบุญใหญ่ๆ ของวัด เช่น งานบุญประจำปี หรืองานมหากุศลอย่าง งานปิดทองฝังลูกนิมิต เนื่องจากเป็นรูปแบบการทำบุญที่ง่าย ไม่ซับซ้อน สามารถทำได้ทั้งครอบครัว ตั้งแต่เด็กไปจนถึงผู้สูงอายุ ทุกคนสามารถเดินเลือกตักบาตรตามวันเกิดของตนเอง สร้างความอิ่มเอมใจและความรู้สึกมีส่วนร่วมในงานบุญนั้นๆ ได้เป็นอย่างดี
ดังนั้น การตักบาตรพระประจำวันเกิดจึงไม่ใช่เป็นเพียงแค่การบริจาคทรัพย์ แต่เป็นการแสดงออกถึงความศรัทธา การระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า และการเชื่อมโยงความเชื่อส่วนบุคคลเข้ากับหลักธรรมคำสอนได้อย่างงดงาม เป็นหนึ่งในวัฒนธรรมอันทรงคุณค่าที่ช่วยจรรโลงพระพุทธศาสนาให้คงอยู่คู่สังคมไทยสืบไป

เติมน้ำมันประจำวันเกิด อธิษฐานขอพร
“การเติมน้ำมันตะเกียงพระประจำวันเกิด” ซึ่งเป็นที่นิยมอย่างมากในวัดต่างๆ ทั่วประเทศไทย มีความหมายและคติความเชื่อที่ลึกซึ้ง ดังนี้
ความหมายของการเติมน้ำมันตะเกียง
การถวายแสงสว่างเป็นพุทธบูชาถือเป็นการทำบุญใหญ่รูปแบบหนึ่ง การเติมน้ำมันตะเกียงมีความหมายเชิงสัญลักษณ์ที่สำคัญคือ
- การต่อแสงสว่างให้ชีวิต แสงสว่างเปรียบได้กับ สติปัญญา และ หนทางชีวิตที่รุ่งโรจน์ ส่วนความมืดเปรียบได้กับอวิชชา (ความไม่รู้) และอุปสรรคปัญหา การเติมน้ำมันเพื่อให้ตะเกียงลุกโชติช่วงอยู่เสมอ จึงเปรียบเสมือนการเติมเชื้อไฟให้กับชีวิตของตนเองให้สว่างไสว ไม่มืดมน และพบทางออกของปัญหา
- การสืบต่อพระพุทธศาสนา แสงสว่างยังหมายถึงแสงแห่งพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า การช่วยให้ตะเกียงหน้าองค์พระปฏิมาสว่างอยู่เสมอ ก็เปรียบได้กับการช่วยสืบทอดและจรรโลงพระพุทธศาสนาให้คงอยู่ต่อไป
- การบูชาพระประจำวันเกิด ในภาพจะเห็นว่าตะเกียงแต่ละดวงจะตั้งอยู่หน้าพระพุทธรูปปางต่างๆ ซึ่งก็คือ “พระประจำวันเกิด” (เช่น วันอาทิตย์-ปางถวายเนตร, วันจันทร์-ปางห้ามญาติ) การเลือกเติมน้ำมันในตะเกียงของวันเกิดตนเองจึงเป็นการทำบุญที่มุ่งเสริมดวงชะตาและสร้างสิริมงคลให้กับตนเองโดยตรง
ดังที่ปรากฏข้อความบนป้ายในภาพว่า “เชิญทำบุญเติมน้ำมันตะเกียงพระประจำวันเกิด เสริมดวง ชีวิตพ้นจากความมืดมิด” ซึ่งสรุปความหมายและความเชื่อนี้ไว้ได้อย่างชัดเจน
อานิสงส์ (ผลบุญ) ของการเติมน้ำมันตะเกียง
ตามความเชื่อโบราณ การถวายดวงประทีปหรือเติมน้ำมันตะเกียง จะส่งผลบุญหรืออานิสงส์ให้แก่ผู้ทำบุญในหลายประการ ได้แก่
- มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด เหมือนแสงสว่างที่ทำให้มองเห็นสิ่งต่างๆ ได้ชัดเจน จะทำให้มีปัญญาหลักแหลม คิดอ่านอะไรก็ปลอดโปร่ง
- มีชีวิตที่รุ่งเรือง สดใส หนทางชีวิตจะราบรื่น ไม่มีอุปสรรค ทำกิจการงานใดก็จะประสบความสำเร็จอย่างงดงาม
- มีชื่อเสียงเกียรติยศ เหมือนแสงไฟที่สว่างไสว ใครๆ ก็มองเห็น จะทำให้มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับนับถือ
- มีผิวพรรณวรรณะผ่องใส มีความเชื่อว่าจะส่งผลให้มีรูปงาม ผิวพรรณผ่องใสดุจแสงไฟ
- มีดวงตาสดใส มองการณ์ไกล ส่งผลให้มีสายตาที่ดี และยังหมายถึงการมีวิสัยทัศน์ มองการณ์ไกล สามารถคาดการณ์และวางแผนอนาคตได้ดี
ดังนั้น การเติมน้ำมันตะเกียงประจำวันเกิด จึงเป็นกุศโลบายอันชาญฉลาดที่ทำให้ผู้คนได้ทำบุญสร้างกุศล พร้อมทั้งเป็นเครื่องเตือนใจให้หมั่นเติม “ปัญญา” และ “ความดี” ให้กับชีวิตของตนเองอยู่เสมอ เพื่อให้ชีวิตสว่างไสวและเจริญรุ่งเรืองตลอดไปครับ






รูปหล่อพระเกจิ: หลวงปูสด วัดกาหลง หลวงพ่อแจ๋ ติสฺสโร วัดโพธิ์เฉลิมรักษ์ หลวงปู่ไข วัดเชิงเลน หลวงพ่อเหลือ วัดสาวชะโงก สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรฺหมรังสี วัดระฆังโฆสิตาราม หลวงปู่ทวด วัดช้างให้


ปิดทองลูกนิมิต อธิษฐานของขอพร ขอบารมี ขอโชค ขอลาภ


พระพุทธรูปและรูปหล่อพระเกจิอาจารย์หลายองค์ ประดิษฐานอยู่ภายในศาลาวัดโพรงอากาศ

จุดบูชาวัตถุมงคล อยู่ภายในศาลาวัดโพรงอากาศ
“วัตถุมงคล” เป็นคำที่มีความหมายลึกซึ้งและเป็นส่วนสำคัญในวัฒนธรรมความเชื่อของสังคมไทย สามารถอธิบายได้ดังนี้
บทนิยามของ “วัตถุมงคล”
วัตถุมงคล (อ่านว่า วัด-ถุ-มง-คน) หมายถึง สิ่งของหรือวัตถุที่ผ่านการสร้างและปลุกเสกตามพิธีกรรมทางความเชื่อ เพื่อให้มีความศักดิ์สิทธิ์และมีพุทธคุณหรืออานุภาพในตัว สามารถนำมาซึ่งความเป็นสิริมงคลแก่ผู้ที่ได้ครอบครองบูชา
โดยแก่นแท้แล้ว วัตถุมงคลเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ สร้างขวัญกำลังใจ และเป็นเครื่องเตือนสติให้ผู้ครอบครองระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย (พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์) เทพเทวดา หรือครูบาอาจารย์ผู้สร้า
วัตถุประสงค์ในการมีไว้บูชา
คนไทยนิยมมีวัตถุมงคลไว้ในครอบครองเพื่อหวังพึ่งพุทธคุณและสรรพคุณในด้านต่างๆ ตามความเชื่อ ได้แก่
- แคล้วคลาดปลอดภัย: คุ้มครองป้องกันจากอุบัติเหตุ ภยันตราย และสิ่งชั่วร้ายต่างๆ
- เมตตามหานิยม: เสริมเสน่ห์ ทำให้เป็นที่รักใคร่เอ็นดูของผู้ที่ได้พบเห็น เจรจาการงานราบรื่น
- โชคลาภ ค้าขาย: ช่วยให้ทำมาค้าขายเจริญรุ่งเรือง มีโชคมีลาภ เงินทองไหลมาเทมา
- คงกระพันชาตรี: ป้องกันศาสตราวุธ ของมีคม หรืออันตรายจากการต่อสู้ (เป็นความเชื่อที่โดดเด่นในสมัยโบราณ)
- เสริมอำนาจบารมี: ช่วยเสริมบารมีและอำนาจวาสนาให้เป็นที่น่าเกรงขาม
ประเภทและรูปแบบของวัตถุมงคล
วัตถุมงคลมีหลากหลายรูปแบบ แต่ที่รู้จักกันโดยทั่วไป ได้แก่
๑. พระเครื่อง: พระพุทธรูปขนาดเล็กที่จำลองมาจากพระพุทธรูปปางต่างๆ หรือรูปเหมือนของพระเกจิอาจารย์
๒. เครื่องรางของขลัง: วัตถุที่ไม่ได้เป็นรูปพระพุทธเจ้าโดยตรง เช่น
- ตะกรุด: แผ่นโลหะที่ลงอักขระเลขยันต์แล้วม้วนเป็นแท่งกลม
- ผ้ายันต์: ผ้าที่ลงอักขระเลขยันต์และรูปเคารพต่างๆ
- มีดหมอ: มีดที่ผ่านพิธีปลุกเสก เชื่อว่ามีอำนาจขับไล่ภูตผีปีศาจ
- ปลัดขิก: รูปแกะสลักที่เน้นพุทธคุณด้านเมตตามหานิยมและค้าขาย
- ลูกอม: มวลสารศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ที่ปั้นเป็นลูกกลมแล้วนำไปปลุกเสก
ที่มาของความศักดิ์สิทธิ์
ความศักดิ์สิทธิ์ของวัตถุมงคลตามความเชื่อนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นมาลอยๆ แต่มีที่มาจากองค์ประกอบ ๓ ส่วนหลัก คือ
- มวลสารศักดิ์สิทธิ์: วัสดุที่นำมาใช้สร้าง เช่น ดินจากสังเวชนียสถาน, ว่านมหามงคล ๑๐๘, ผงพุทธคุณที่เกิดจากการเขียนและลบยันต์, ชิ้นส่วนพระเครื่องเก่า, แร่ธาตุกายสิทธิ์ต่างๆ
- บารมีและพลังจิตของผู้สร้าง: พระเกจิอาจารย์หรือครูบาอาจารย์ผู้สร้างและปลุกเสก จะต้องเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ มีสมาธิแก่กล้า และมีบารมีสูง พลังจิตและบารมีเหล่านี้จะถูกถ่ายทอดลงสู่วัตถุมงคลผ่านพิธีกรรม
- พิธีกรรมการปลุกเสก (พุทธาภิเษก): เป็นหัวใจสำคัญที่สุด คือการเชิญบารมีแห่งคุณพระรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายให้มาสถิตในวัตถุนั้นๆ ผ่านการสวดมนต์ นั่งปรกอธิษฐานจิตของพระเกจิอาจารย์หลายๆ รูป ซึ่งมักจะทำในฤกษ์ยามที่เป็นมงคล
โดยสรุป วัตถุมงคล คือสัญลักษณ์แห่งความศรัทธา ที่ผสมผสานความเชื่อทางพระพุทธศาสนา ศาสนาพราหมณ์ และความเชื่อดั้งเดิมของไทยเข้าไว้ด้วยกัน ทำหน้าที่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจและมอบความอุ่นใจในการดำเนินชีวิต โดยมีความเชื่อว่าพุทธคุณจะคุ้มครองผู้ที่ประพฤติดีอยู่ในศีลในธรรมเท่านั้น

จุดบูชาดอกไม้ธูปเทียนทอง

พระพุทธรูปปางชนะมาร ประดิษฐานอยู่บนวิหาร บริเวณวัดโพรงอากาศ
ความหมาย ประวัติความเป็นมาและความสำคัญมาขององค์พระปางชนะมารและอัครสาวกเบื้องซ้ายและเบื้องขวาดังนี้
๑. พระพุทธรูปปางชนะมาร หรือ ปางมารวิชัย
พระพุทธรูปองค์ประธานในภาพอยู่ในพุทธลักษณะที่เรียกว่า ปางชนะมาร หรือ ปางมารวิชัย ซึ่งเป็นปางที่นิยมสร้างเป็นพระประธานในพระอุโบสถมากที่สุดในประเทศไทย
ความหมาย
ปางมารวิชัย สื่อถึงเหตุการณ์สำคัญในพุทธประวัติ คือค่ำคืนที่เจ้าชายสิทธัตถะกำลังจะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ได้ทรงบำเพ็ญเพียรทางจิตจนใกล้จะบรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ แต่พญาวสวัตดีมารซึ่งเป็นใหญ่ในสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตดี ได้ยกทัพมารมาขัดขวางเพื่อไม่ให้พระองค์ตรัสรู้
พญามารได้อ้างว่าบัลลังก์ที่ประทับนั้นเป็นของตน แต่พระองค์ทรงไม่มีพยานบุคคลใดมายืนยันการบำเพ็ญบารมีของพระองค์ได้ จึงทรงเหยียดพระหัตถ์ขวาแตะพื้นปฐพี เพื่อเรียก พระแม่ธรณี ขึ้นมาเป็นพยาน พระแม่ธรณีได้ปรากฏกายขึ้นและบีบมวยผมหลั่งน้ำที่พระองค์ทรงเคยกรวดอุทิศส่วนกุศลในการบำเพ็ญบารมีมาในอดีตชาติทั้งปวงออกมาเป็นกระแสธารมหาสมุทร พัดพาเหล่ากองทัพพญามารให้พ่ายแพ้ไปจนหมดสิ้น
ดังนั้น “ปางชนะมาร” จึงเป็นสัญลักษณ์แห่ง ชัยชนะของพระพุทธเจ้าที่ไม่ได้มีเพียงต่อหมู่มารภายนอก แต่ยังหมายถึงชัยชนะเหนืออำนาจกิเลสภายในพระทัยของพระองค์เองด้วย
สรรพคุณและพุทธคุณ
ด้วยความหมายที่เป็นมงคล ผู้ที่กราบไหว้บูชาพระปางชนะมารจึงเชื่อว่าจะได้รับพุทธคุณในด้านต่างๆ ดังนี้
- การเอาชนะอุปสรรค: ช่วยให้ผ่านพ้นปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ในชีวิตไปได้ด้วยดี
- ชัยชนะเหนือศัตรูคู่แข่ง: เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องเผชิญกับการแข่งขัน การประกวด หรือการต่อสู้ต่างๆ
- ปกป้องคุ้มครอง: ช่วยป้องกันจากสิ่งไม่ดี ภูตผีปีศาจ และอันตรายทั้งปวง
- ความสำเร็จและความเจริญรุ่งเรือง: นำมาซึ่งความสำเร็จในสิ่งที่ปรารถนาและทำให้ชีวิตเจริญก้าวหน้า
๒. พระอัครสาวกเบื้องขวา พระสารีบุตร
พระพุทธรูปที่ประดิษฐานอยู่เบื้องขวาขององค์พระประธานคือ พระสารีบุตร อัครสาวกผู้ได้รับยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่าเป็น เอตทัคคะ หรือ ผู้เป็นเลิศกว่าภิกษุทั้งปวงในด้านผู้มีปัญญามาก
ประวัติและความสำคัญ
- ก่อนบวช: ท่านมีชื่อเดิมว่า “อุปติสสะ” เป็นบุตรของนางพราหมณีชื่อ “สารี” ในหมู่บ้านอุปติสสคาม ท่านเป็นเพื่อนสนิทกับ “โกลิตะ” (พระโมคคัลลานะ) และได้สัญญาร่วมกันว่าจะออกแสวงหาโมกขธรรมเพื่อการหลุดพ้น
- เหตุแห่งการบวช: ท่านได้พบกับพระอัสสชิ หนึ่งในปัญจวัคคีย์ และเกิดความเลื่อมใสในอิริยาบถที่สงบสำรวม จึงได้ทูลถามถึงคำสอนของพระศาสดา พระอัสสชิได้กล่าวคาถาเพียงย่อๆ ว่า “เย ธมฺมา เหตุปปฺภวา…” (สิ่งใดย่อมเกิดแต่เหตุ…) เมื่อได้ฟังจบ ท่านก็ได้ดวงตาเห็นธรรมสำเร็จเป็นพระโสดาบัน และได้ชวนพระโมคคัลลานะไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าเพื่อทูลขอบวช
- บทบาทสำคัญ: พระสารีบุตรมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยพระพุทธเจ้าเผยแผ่พระศาสนา สามารถแสดงธรรมและอธิบายขยายความพระธรรมที่ลึกซึ้งให้เข้าใจง่าย จนได้รับสมัญญาว่า “พระธรรมเสนาบดี” (แม่ทัพแห่งกองทัพธรรม) คู่กับพระพุทธเจ้าผู้เป็น “พระธรรมราชา” (ราชาแห่งธรรม) ท่านยังเป็นผู้มีความกตัญญูเป็นเลิศอีกด้วย
๓. พระอัครสาวกเบื้องซ้าย: พระโมคคัลลานะ
พระพุทธรูปที่ประดิษฐานอยู่เบื้องซ้ายขององค์พระประธานคือ พระมหาโมคคัลลานะ อัครสาวกผู้ได้รับยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่าเป็น เอตทัคคะ หรือ ผู้เป็นเลิศกว่าภิกษุทั้งปวงในด้านผู้มีฤทธิ์มาก
ประวัติและความสำคัญ
- ก่อนบวช: ท่านมีชื่อเดิมว่า “โกลิตะ” เป็นเพื่อนสนิทกับพระสารีบุตร และได้ตั้งมั่นที่จะแสวงหาการหลุดพ้นจากทุกข์เช่นเดียวกัน
- การบรรลุธรรม: หลังจากบวชได้ ๗ วัน ขณะที่ท่านไปปฏิบัติธรรมที่หมู่บ้านกัลลวาลมุตตคาม ท่านเกิดความง่วงเหงาหาวนอน พระพุทธเจ้าจึงได้เสด็จไปแสดงธรรมโปรดจนท่านสามารถละความโงกง่วงและได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ในที่สุด
- บทบาทสำคัญ: พระโมคคัลลานะมีฤทธิ์อานุภาพทางจิตสูงส่ง สามารถแสดงฤทธิ์ได้หลากหลายเพื่อปราบคนพาลให้สิ้นพยศ และเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ตกทุกข์ได้ยาก ท่านมีบทบาทสำคัญในการดูแลปกครองคณะสงฆ์ และเป็นกำลังหลักในการเผยแผ่พระศาสนาคู่กับพระสารีบุตร นอกจากนี้ท่านยังเป็นที่รู้จักในตำนานที่ท่านได้ลงไปโปรดมารดาในนรกภูมิ ซึ่งเป็นที่มาของ ประเพณีวันสารทจีน (เทศกาลอุลลัมพน) อีกด้วย
การประดิษฐานพระพุทธรูปปางชนะมารพร้อมด้วยพระอัครสาวกทั้งสอง จึงเปรียบเสมือนการจำลองภาพของพระพุทธเจ้าเมื่อครั้งทรงประกาศพระศาสนา โดยมี พระสารีบุตร (ตัวแทนแห่งปัญญา) และ พระโมคคัลลานะ (ตัวแทนแห่งฤทธิ์) เป็นกำลังสำคัญอยู่เคียงข้างครับ


จุดทำบุญให้อาหารปลา




องค์ท้าวเวสสุวรรณ ประดิษฐานอยู่หน้าศาลา ข้างองค์พระพิฆเนศ
ท้าวเวสสุวรรณ (ท้าวกุเวร) เป็นเทพที่ได้รับการเคารพศรัทธาอย่างสูงในประเทศไทย มีประวัติที่น่าสนใจและเชื่อว่ามีสรรพคุณมากมาย
๑. ประวัติและความเป็นมาขององค์ท้าวเวสสุวรรณ
ท้าวเวสสุวรรณทรงมีบทบาทในหลายความเชื่อ ซึ่งสามารถอธิบายได้ดังนี้
- ในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู: พระองค์ทรงมีพระนามว่า “ท้าวกุเวร” (Kubera) เป็นเทพแห่งความมั่งคั่งร่ำรวย ทรงเป็นผู้รักษาทรัพย์สมบัติของโลก เป็นเจ้าแห่งยักษ์และภูตผีทั้งปวง
- ในพระพุทธศาสนา: พระองค์ทรงเป็น ๑ ใน ๔ ของ “ท้าวจตุโลกบาล” หรือ “ท้าวมหาราชทั้งสี่” ผู้ทำหน้าที่ปกครองดูแลโลกในทั้งสี่ทิศ โดยท้าวเวสสุวรรณทรงเป็น “อธิบดีแห่งอสูร” หรือเจ้าแห่งยักษ์ ทำหน้าที่ปกครองดูแลทิศเหนือ (อุดร) ของเขาพระสุเมรุ พระองค์ได้รับพุทธานุญาตจากพระพุทธเจ้าให้มีหน้าที่ปกป้องดูแลพระพุทธศาสนาและคุ้มครองมนุษย์โลกจากภูตผีปีศาจและสิ่งชั่วร้ายทั้งปวง
ด้วยบทบาททั้งสองนี้ ในความเชื่อของคนไทยจึงนับถือท้าวเวสสุวรรณในฐานะมหาเทพผู้ยิ่งใหญ่ ทั้งในด้านการเป็นเจ้าแห่งทรัพย์สมบัติและความมั่งคั่ง และในด้านการเป็นผู้ปกป้องคุ้มครองจากภัยอันตราย
๒. สรรพคุณและพุทธคุณในการบูชา
ด้วยประวัติและความสำคัญดังกล่าว ผู้คนจึงเชื่อว่าการกราบไหว้บูชาท้าวเวสสุวรรณจะนำมาซึ่งความเป็นมงคลและสรรพคุณหลากหลายด้าน ได้แก่
- โชคลาภและความมั่งคั่ง: ในฐานะ “ท้าวกุเวร” หรือ “ธนบดี” (เจ้าแห่งทรัพย์) เชื่อว่าท่านจะประทานพรด้านการเงิน ทำให้ค้าขายดี มีโชคลาภ ร่ำรวยเงินทอง และเก็บทรัพย์สมบัติอยู่
- ป้องกันภูตผีปีศาจและสิ่งอัปมงคล: ในฐานะเจ้าแห่งยักษ์และผู้คุ้มครองพระพุทธศาสนา เชื่อว่าท่านมีอำนาจเหนือภูตผีปีศาจและวิญญาณร้ายทั้งปวง การบูชาท่านจะช่วยขับไล่สิ่งไม่ดี ป้องกันคุณไสยมนตร์ดำ และทำให้ภูตผีไม่กล้าเข้าใกล้
- เสริมอำนาจบารมีและตำแหน่งหน้าที่: ด้วยลักษณะที่เป็น “เจ้า” หรือ “ผู้ปกครอง” เชื่อว่าการบูชาท่านจะช่วยเสริมบารมี เลื่อนยศเลื่อนตำแหน่ง และทำให้ผู้คนเกรงขาม เหมาะสำหรับผู้ที่ทำงานในสายปกครองหรือข้าราชการ
- คุ้มครองเด็กเล็ก: มีความเชื่อโบราณว่า การนำยันต์หรือองค์ท้าวเวสสุวรรณติดไว้ที่เปลของเด็กอ่อน จะช่วยป้องกันวิญญาณร้ายที่มารบกวนได้
๓. ความหมายของกายสีต่างๆ (เขียว/ดำ และ แดง)
ที่เราเห็นองค์ท้าวเวสสุวรรณมีลักษณะและสีพระวรกายที่แตกต่างกันนั้น เป็นการแบ่งภาคหรือปางตามบทบาทและหน้าที่ เพื่อให้ผู้ศรัทธาได้เลือกบูชาตามความปรารถนา โดยหลักๆ จะมี ๒ ภาค คือ
กายสีเขียว หรือ สีดำ (ภาคยักษ์)
- ลักษณะ: จะมีพระพักตร์ (ใบหน้า) ที่ดุดันน่าเกรงขาม นัยน์ตาโปน เขี้ยวโง้ง ในพระหัตถ์จะทรงกระบองเป็นอาวุธ
- ความหมาย: เป็นภาคที่แสดงถึงอำนาจในการเป็น เจ้าแห่งยักษ์และภูตผี โดยตรง
- สรรพคุณเด่น: เน้นด้านการ ปกป้องคุ้มครอง ขับไล่สิ่งชั่วร้าย ปราบปรามศัตรู และเสริมอำนาจบารมีให้คนเกรงกลัว
กายสีแดง หรือ สีทอง (ภาคเทพ/มนุษย์)
- ลักษณะ: จะมีพระพักตร์และลักษณะคล้ายเทพหรือมนุษย์ ไม่ดุดันเท่าภาคยักษ์
- ความหมาย: เป็นภาคที่แสดงถึงบทบาทในการเป็น เทพแห่งความมั่งคั่ง หรือ “ท้าวกุเวร”
- สรรพคุณเด่น: เน้นด้านการประทานพรให้เกิด โชคลาภ ทรัพย์สินเงินทอง และความเจริญรุ่งเรืองในการค้าขาย
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นภาคใดหรือสีใด ก็คือองค์ท้าวเวสสุวรรณองค์เดียวกัน ซึ่งมีสรรพคุณครบถ้วนในทุกด้าน การแบ่งสีเป็นเพียงการเน้นให้เห็นเด่นชัดในคุณลักษณะแต่ละด้าน เพื่อให้ผู้บูชามุ่งหวังขอพรได้ตรงตามความต้องการนั่นเองครับ

องค์พระพิฆเนศ ประดิษฐานอยู่บริเวณวัดโพรงอากาศ
องค์พระพิฆเนศที่วัดโพรงอากาศ จังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นอีกหนึ่งองค์ที่มีความโดดเด่นและยิ่งใหญ่มากที่สุดในประเทศไทย ลักษณะเป็นปางนั่งประทานพร สีชมพูสดใส องค์ใหญ่อลังการสูงถึง ๔๙ เมตร (ไม่รวมฐาน) และกว้าง ๑๙ เมตร นั่งอยู่บนตั่งอย่างสง่างาม มีสี่กรถือต่างสิ่งมงคล ซึ่งสื่อถึงการขจัดอุปสรรคและประทานพรแก่ผู้ศรัทธา ที่เอวมีงูใหญ่สีดำพันอยู่ และบนศีรษะสวมพระมาลาอย่างวิจิตร สังเกตตรงด้านหน้าพระมาลา จะเห็นพระพุทธรูปจำลองหลวงพ่อโสธรขนาดหน้าตักกว้างประมาณ ๖๐ นิ้ว ประดิษฐานอยู่อย่างน่าเลื่อมใส
รอบฐานขององค์พระพิฆเนศยังประดับด้วยพระพิฆเนศในปางต่าง ๆ อีก ๓๒ ปาง เรียงรายอย่างสวยงามเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้สถานที่แห่งนี้มีความสมบูรณ์ทางด้านศิลปะและจิตวิญญาณ บริเวณโดยรอบยังมีรูปปั้นหนูบริวารของพระองค์ประจำอยู่ข้างฐาน คอยรับคำกระซิบขอพรจากผู้คนที่มากราบ
องค์พระพิฆเนศปางนี้ใช้เวลาก่อสร้างยาวนานถึง ๓ ปีเต็ม ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ จนแล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ และเริ่มเปิดให้ประชาชนเข้าสักการะอย่างเป็นทางการในเดือนกุมภาพันธ์ของปีเดียวกัน ปัจจุบันบริเวณวัดได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านความสะดวกสบายของผู้มาเยือนและภูมิทัศน์โดยรอบ ทำให้วัดโพรงอากาศกลายเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของผู้ศรัทธาและนักท่องเที่ยวที่ต้องการมาขอพรเรื่องการงาน ความสำเร็จ และความมั่งคั่งในชีวิต
ลักษณะขององค์พระพิฆเนศ
องค์สีชมพู ขนาดใหญ่ โดดเด่น
มี ๔ กร ถือวัตถุมงคลต่าง ๆ
- มือขวาบนถือ ขวาน (ตัดอุปสรรค)
- มือขวาล่างแสดง ท่าประทานพร (อภัยมุทรา)
- มือซ้ายบนถือ ดอกบัว (ความบริสุทธิ์ ความเบิกบาน)
- มือซ้ายล่างถือ ขนมโมทกะ (สัญลักษณ์แห่งความสุข ความอุดมสมบูรณ์)
มี หนูมุสิกะ เป็นพาหนะด้าน
ฐานองค์พระมีลวดลายสวยงาม และมีซุ้มโดมสีทองล้อมรอบ
สถานที่ตั้ง
- ตั้งอยู่ทาง ทิศตะวันตกเฉียงใต้ของวัดโพรงอากาศ
- ตั้งเด่นเป็นสง่าในลานกว้างของวัด มีภูมิทัศน์โดยรอบเป็นพื้นที่นาและคลอง
- อยู่ใน วัดโพรงอากาศ อำเภอบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา
ความโดดเด่น
- เป็นองค์พระพิฆเนศที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย (สูงประมาณ 39 เมตร)
- นิยมกราบไหว้ขอพรเรื่อง ความสำเร็จในการงาน การศึกษา และการเริ่มต้นสิ่งใหม่ ๆ
องค์พระพิฆเนศในภาพนี้เป็นปางนั่งประทานพร สีชมพูสดใส ดูโดดเด่นมากตั้งแต่แรกเห็น องค์พระมีสี่กร แต่ละกรถือต่างสิ่งที่เป็นมงคล เช่น ขวาน ดอกบัว ขนมโมทกะ และมือหนึ่งแสดงท่าประทานพร ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นสัญลักษณ์ของการให้โชคลาภ ความสำเร็จ และความอุดมสมบูรณ์ ใต้ฐานพระมีหนูพาหนะคู่ใจนั่งอยู่ด้านหน้า บรรยากาศโดยรอบเงียบสงบ รายล้อมด้วยธรรมชาติและทุ่งนาเขียวขจี
องค์พระตั้งอยู่ในพื้นที่ของวัดโพรงอากาศ จังหวัดฉะเชิงเทรา โดยหันหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ หากมายืนตรงลานด้านหน้าจะเห็นองค์พระหันหน้าออกมาต้อนรับผู้คนที่มาไหว้ขอพรอย่างชัดเจน ขนาดขององค์พระใหญ่มากจนกลายเป็นจุดเด่นของวัดนี้ไปเลย และเป็นที่ศรัทธาของผู้คนทั้งในพื้นที่และจากต่างจังหวัด โดยเฉพาะใครที่อยากเริ่มต้นสิ่งใหม่ ๆ หรือขอพรเรื่องงาน การเรียน และความสำเร็จ มักนิยมมากราบไหว้ที่นี่กันอยู่เสมอ

ขอได้ ไหว้รับ ทรัพย์เหลือล้น คนเมตตา ทำมาค้าขึ้น
ไอ้ไข่ เด็กวัดเจดีย์: เทพแห่งโชคลาภและการค้าขาย
“ไอ้ไข่” หรือที่บางคนเรียกว่า “ตาไข่” ซึ่งเป็นที่เคารพสักการะอย่างแพร่หลายในประเทศไทย โดยเฉพาะจากวัดเจดีย์ (ไอ้ไข่) อำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช
ตามความเชื่อและตำนานที่เล่าสืบต่อกันมา ไอ้ไข่ไม่ใข่กุมารทอง แต่เป็นวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของเด็กชายผู้เป็นลูกศิษย์และติดตามหลวงปู่ทวด ซึ่งหลวงปู่ทวดได้สั่งให้เฝ้ารักษาทรัพย์สมบัติของวัดเจดีย์ไว้ ด้วยสัจจะวาจาที่ให้ไว้กับอาจารย์ ทำให้ดวงวิญญาณของไอ้ไข่ยังคงสถิตอยู่ ณ วัดแห่งนี้เพื่อคอยปกปักรักษาและให้พรแก่ผู้ที่มาขอ
สำหรับสรรพคุณที่ผู้คนนิยมไปกราบไหว้ขอพรนั้น มีความโดดเด่นในด้านต่างๆ ดังนี้
- โชคลาภและการเสี่ยงโชค: นี่คือสรรพคุณที่เลื่องลือที่สุดของไอ้ไข่ ผู้คนจำนวนมากมักจะเดินทางไปขอพรให้มีโชคลาภ ถูกรางวัล หรือประสบความสำเร็จจากการเสี่ยงโชคต่างๆ จนมีคำกล่าวติดปากว่า “ขอได้ ไหว้รับ”
- การค้าขายและธุรกิจ: พ่อค้าแม่ค้าและนักธุรกิจนิยมขอพรให้กิจการเจริญรุ่งเรือง ค้าขายคล่องตัว มีลูกค้ามากมาย และประสบผลกำไรที่ดี
- ของหายได้คืน: ในอดีต ชาวบ้านมักจะบนบานกับไอ้ไข่เมื่อมีของสูญหาย เช่น วัว ควาย หรือทรัพย์สินต่างๆ และก็มักจะได้คืนอย่างน่าอัศจรรย์
- คุ้มครองป้องกันภัย: นอกจากเรื่องโชคลาภแล้ว ยังมีความเชื่อว่าไอ้ไข่ช่วยคุ้มครองให้แคล้วคลาดจากภยันตรายต่างๆ อีกด้วย
ผู้ที่สมหวังในคำขอ มักจะกลับไปแก้บนด้วยสิ่งของที่ไอ้ไข่ชอบตามคำบอกเล่า เช่น น้ำแดง, ขนมเปี๊ยะ, ชุดทหาร, ของเล่นเด็ก, รูปปั้นไก่ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การจุดประทัด เพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณ



ความหมายของ “หนูมุสิกะ”
หนู “มุสิกะ” ซึ่งตามตำนานในศาสนาฮินดูคือพาหนะและบริวารรับใช้ขององค์พระพิฆเนศ หนูมุสิกะไม่ได้เป็นเพียงสัตว์พาหนะธรรมดา แต่มีความสำคัญในฐานะ “ผู้ส่งสาร” ที่จะนำคำอธิษฐานและคำขอพรของผู้ศรัทธาไปทูลบอกกล่าวแก่องค์พระพิฆเนศโดยตรงและรวดเร็ว
- สัญลักษณ์ของการขจัดอุปสรรค: หนูมีความสามารถในการเดินทางไปในที่แคบหรือที่เข้าถึงยากได้ฉันใด ก็เชื่อว่าหนูมุสิกะสามารถนำพาสารของผู้ศรัทธาไปถึงองค์พระพิฆเนศได้โดยไม่มีอุปสรรคฉันนั้น
- การเอาชนะอัตตา: อีกนัยหนึ่ง หนูยังเป็นสัญลักษณ์ของความปรารถนาและอัตตาของมนุษย์ การที่องค์พระพิฆเนศทรงประทับบนหลังหนู แสดงให้เห็นถึงการที่พระองค์ทรงเอาชนะและควบคุมความปรารถนาเหล่านั้นไว้ได้
สรรพคุณและการขอพร
การมีรูปปั้นหนูเงินและหนูทองคู่กันนั้น เป็นการเน้นย้ำถึงสรรพคุณในด้าน โชคลาภ เงินทอง และความสำเร็จ
- หนูทอง: หมายถึง ความมั่งคั่งร่ำรวย โชคลาภ ทรัพย์สินเงินทอง
- หนูเงิน: หมายถึง ความสำเร็จ ความเจริญก้าวหน้า และสติปัญญา
ผู้ศรัทธานิยมไปขอพรกับหนูมุสิกะ โดยเชื่อว่าเป็นเคล็ดลับที่จะทำให้พรที่ขอจากองค์พระพิฆเนศสำเร็จได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
วิธีการขอพรที่นิยมปฏิบัติกัน
- หลังจากไหว้บูชาองค์พระพิฆเนศแล้ว ให้เดินมาที่รูปปั้นหนูมุสิกะ
- เลือกกระซิบที่หูข้างใดข้างหนึ่งของหนู
- ใช้มือปิดหูของหนูอีกข้างไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้คำอธิษฐาน “เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา”
- กระซิบบอกชื่อ-นามสกุล และพรที่ต้องการขออย่างชัดเจน (โดยมักจะเป็นการย้ำพรที่ได้ขอจากองค์พระพิฆเนศไปแล้ว)
- เมื่อขอพรเสร็จ อาจจะถวายสินน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ เช่น เงิน หรือขนมหวาน วางไว้บนถาดที่หนูถืออยู่ เพื่อเป็นเหมือนการให้รางวัลแก่มุสิกะที่จะนำพรของเราไปส่งให้องค์ท่าน
ดังนั้น การไปกราบไหว้และกระซิบขอพรที่หนูเงิน หนูทอง ณ วัดโพรงอากาศ จึงเป็นสัญลักษณ์ของการขอพรให้ประสบความสำเร็จด้านการเงิน การงาน และโชคลาภ ให้พรนั้นไปถึงองค์พระพิฆเนศอย่างรวดเร็วและสมปรารถนา

ความหมายของรูปปั้น
ควายสีชมพูตัวนี้ ไม่ใช่รูปเคารพของเทพหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ให้พรโดยตรงเหมือนกับพระพิฆเนศหรือหนูมุสิกะ แต่ทำหน้าที่เป็น สัญลักษณ์และจุดรับบริจาคเพื่อการทำบุญไถ่ชีวิตโค-ควาย
หากสังเกตที่ตัวรูปปั้น จะมีข้อความเขียนว่า “ทำบุญไถ่ชีวิตโคควาย” ซึ่งหมายถึง การรวบรวมเงินบริจาคจากผู้มีจิตศรัทธา เพื่อนำไปช่วยเหลือชีวิตวัวและควายที่กำลังจะถูกส่งไปโรงฆ่าสัตว์ ให้พวกมันได้มีชีวิตอยู่ต่อไป
ดังนั้น ความหมายของรูปปั้นนี้คือ
- เป็นตัวแทน ของวัวและควายที่รอรับการช่วยเหลือ
- เป็นสะพานบุญ ให้ผู้ศรัทธาได้ทำบุญใหญ่ คือการให้ชีวิตเป็นทาน (อภัยทาน) ซึ่งถือเป็นทานอันสูงสุดอย่างหนึ่ง
- เป็นกุศโลบาย ในการเชิญชวนให้คนร่วมทำบุญได้ง่ายขึ้น ด้วยรูปปั้นที่มีสีสันโดดเด่นสะดุดตา
สรรพคุณและอานิสงส์ของการทำบุญ
สำหรับ “สรรพคุณ” ในกรณีนี้ จะไม่ได้มาจากตัวรูปปั้นโดยตรง แต่มาจาก อานิสงส์หรือผลบุญของการ “ไถ่ชีวิตสัตว์” ซึ่งตามความเชื่อทางพุทธศาสนา ถือว่าผู้ที่ทำบุญในลักษณะนี้จะได้รับผลบุญที่ยิ่งใหญ่หลายประการ ได้แก่:
- มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง อายุยืนยาว: เพราะได้ต่อชีวิตให้ผู้อื่น จึงเชื่อว่าจะส่งผลให้ตนเองมีอายุขัยที่ยืนยาว ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บมาเบียดเบียน
- หมดเคราะห์กรรม: ช่วยให้รอดพ้นจากเคราะห์หามยามร้าย แคล้วคลาดจากอุบัติเหตุและภยันตรายต่างๆ ช่วยผ่อนกรรมหนักให้เป็นเบา
- มีบริวารและผู้ช่วยเหลือ: การช่วยเหลือสัตว์ใหญ่ที่เคยมีบุญคุณต่อมนุษย์ (ในด้านเกษตรกรรม) เชื่อว่าจะทำให้มีบริวารที่ดี มีผู้คนคอยให้ความช่วยเหลือสนับสนุนอยู่เสมอ
- เสริมบารมีและสิริมงคล: เป็นการสร้างบุญบารมีที่ยิ่งใหญ่ให้กับตนเองและครอบครัว ทำให้ชีวิตมีความเจริญรุ่งเรือง
โดยสรุป วัวสีชมพูที่วัดโพรงอากาศ คือจุดที่คุณสามารถทำบุญใหญ่ด้วยการไถ่ชีวิตโค-ควาย และพรหรือสรรพคุณที่ได้รับ ก็คือผลบุญอันเกิดจากการให้ชีวิตเป็นทานนั่นเองครับ

จุดบูชาเครื่องบวงสรวง
ในวัฒนธรรมไทย ความเชื่อเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์และการแสดงความเคารพต่อเทพยดาฟ้าดินเป็นสิ่งที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนาน หนึ่งในพิธีกรรมสำคัญที่สะท้อนความเชื่อนี้คือ “พิธีบวงสรวง” ซึ่งมี “เครื่องบวงสรวง” เป็นองค์ประกอบหลักสำคัญ บทความนี้จะพาไปทำความรู้จักว่าเครื่องบวงสรวงคืออะไร และเหตุใดพิธีบวงสรวงจึงยังคงมีความสำคัญมาจนถึงปัจจุบัน
เครื่องบวงสรวง คืออะไร
เครื่องบวงสรวง คือ ชุดของถวายที่จัดเตรียมขึ้นเพื่อใช้ในพิธีบวงสรวงสังเวยแด่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทพยดาอารักษ์ ครูบาอาจารย์ หรือดวงวิญญาณที่เคารพนับถือ การจัดเครื่องบวงสรวงเป็นการแสดงออกถึงความเคารพอย่างสูงสุด การขอบคุณ และการขอพรให้ท่านเมตตาประทานความสำเร็จ ความเจริญรุ่งเรือง และปกป้องคุ้มครองจากภยันตรายต่างๆ
โดยทั่วไป เครื่องบวงสรวงจะประกอบด้วยของคาวหวาน ผลไม้มงคล และเครื่องประกอบพิธีอื่นๆ ซึ่งแต่ละอย่างล้วนมีความหมายอันเป็นมงคลซ่อนอยู่
องค์ประกอบหลักของเครื่องบวงสรวง
โดยทั่วไปแล้ว ของที่ใช้ในพิธีบวงสรวงจะถูกจัดวางอย่างสวยงามบนโต๊ะพิธี ประกอบไปด้วย
เครื่องคาว
- หัวหมู: หมายถึงความอุดมสมบูรณ์พูนสุข มีกินมีใช้ไม่ขาด
- ไก่ต้ม: สื่อถึงความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน เนื่องจากไก่มีลักษณะเดินไปข้างหน้า ไม่ถอยหลัง
- เป็ด: หมายถึงความสามารถรอบด้าน ทำอะไรก็สำเร็จลุล่วง
- ปลา: สื่อถึงความอุดมสมบูรณ์ มีเงินมีทองเหลือกินเหลือใช้
- กุ้ง/ปู: หมายถึงการมีบริวารที่ดี มีอำนาจวาสนา
เครื่องหวาน
- ขนมมงคล ๙ อย่าง: โดยเฉพาะขนมไทยที่มีชื่อเป็นมงคลและขึ้นต้นด้วย “ทอง” เช่น ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง เม็ดขนุน เพื่อสื่อถึงความร่ำรวย เงินทอง และการมีผู้สนับสนุนค้ำจุน
- ขนมต้มแดง-ต้มขาว: เป็นขนมโบราณที่ใช้ในพิธีสำคัญ สื่อถึงความราบรื่นและชัยชนะ
ผลไม้มงคล
- มะพร้าวอ่อน: สื่อถึงความบริสุทธิ์และความสุขสดชื่น
- กล้วย (โดยเฉพาะกล้วยน้ำว้า): หมายถึงการทำอะไรก็สำเร็จโดยง่ายดายเหมือนปอกกล้วย และการมีบริวาร ลูกหลานสืบสกุล
- สับปะรด: มาจากชื่อในภาษาจีน (อั่งไล้) ที่แปลว่า “เรียกสีแดง (ความโชคดี) มา” สื่อถึงการมีสายตากว้างไกล มองการณ์ไกล
- ส้ม: ผลไม้สีทองที่สื่อถึงโชคลาภ ความสวัสดีมงคล
- ผลไม้อื่นๆ: เช่น องุ่น (ความเจริญงอกงาม), แก้วมังกร (อำนาจ บารมี), ทับทิม (ความสามัคคี) เป็นต้น
เครื่องประกอบอื่นๆ
- บายศรี: ภาชนะที่ทำจากใบตอง ประดับด้วยดอกไม้สดอย่างสวยงาม ถือเป็นเครื่องเชิญและที่สถิตของเทพยดา
- ธูปเทียน: ธูปใช้บูชาพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ส่วนเทียนคือแสงสว่างนำทางชีวิต
- พวงมาลัย ดอกไม้สด: แสดงถึงความเคารพ ความสดชื่น และความงดงาม
- หมากพลู บุหรี่: เป็นเครื่องรับรองตามธรรมเนียมโบราณ
- น้ำสะอาด และเครื่องดื่มต่างๆ: สื่อถึงความสะอาดบริสุทธิ์และความชุ่มเย็น
ไมต้อง “บวงสรวง”
พิธีบวงสรวงเป็นพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ที่จัดขึ้นด้วยหลากหลายวัตถุประสงค์ ซึ่งล้วนหยั่งรากลึกในความเชื่อและวัฒนธรรมไทย ดังนี้
- เพื่อแสดงความเคารพและขอบคุณ (เป็นการบูชาคุณ): เพื่อแสดงความกตัญญูต่อเทพยดา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เจ้าที่เจ้าทาง หรือบูรพกษัตริย์ที่ปกปักรักษาผืนแผ่นดินหรือสถานที่นั้นๆ ให้มีความสงบร่มเย็น
- เพื่อขอพรและความเป็นสิริมงคล: เป็นการเริ่มต้นทำกิจการงานใหม่ๆ เช่น การตั้งศาลพระภูมิ การเปิดธุรกิจ การสร้างบ้าน การบวงสรวงเปิดกล้องละครหรือภาพยนตร์ โดยเชื่อว่าการบอกกล่าวและขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก่อนจะช่วยให้กิจการนั้นๆ ดำเนินไปอย่างราบรื่น ประสบความสำเร็จ และเจริญรุ่งเรือง
- เพื่อปัดเป่าอุปสรรคและสิ่งชั่วร้าย: ในบางครั้งเมื่อต้องเข้าไปใช้พื้นที่หรือรู้สึกว่ากิจการติดขัด การบวงสรวงถือเป็นการขอขมาต่อเจ้าที่เจ้าทางและขอให้ท่านช่วยปัดเป่าอุปสรรค ภยันตราย และสิ่งอัปมงคลต่างๆ ออกไป
- เพื่อบอกกล่าวและขออนุญาต: ในกรณีที่จะมีการก่อสร้างหรือกระทำการใดๆ ที่อาจกระทบกระเทือนพื้นที่ การบวงสรวงเปรียบเสมือนการแจ้งให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ดูแลสถานที่นั้นๆ ได้รับทราบและเป็นการขออนุญาต เพื่อให้การทำงานเป็นไปโดยสวัสดิภาพ
- เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจ: พิธีบวงสรวงยังส่งผลทางด้านจิตใจ ทำให้ผู้ที่เกี่ยวข้องเกิดความเชื่อมั่น มีขวัญและกำลังใจที่ดีในการประกอบกิจการงานต่างๆ ต่อไป
กล่าวโดยสรุป “เครื่องบวงสรวง” และ “พิธีบวงสรวง” คือรูปธรรมของการแสดงออกซึ่งความเชื่อ ความศรัทธา และความเคารพต่อสิ่งที่มองไม่เห็น ซึ่งฝังรากลึกอยู่ในสังคมไทยมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน แม้ในยุคสมัยที่เปลี่ยนไป พิธีกรรมเหล่านี้ยังคงเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจและสะท้อนถึงวัฒนธรรมอันดีงามที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนาน

จุดบูชาดอกไม้ธูปเทียนทอง
การที่วัดต่างๆ ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ มักจัดให้มีสถานที่สำหรับบูชาด้วยดอกไม้ ธูป เทียน และแผ่นทองคำเปลว เป็นการผสมผสานระหว่างหลักปฏิบัติทางพระพุทธศาสนาเข้ากับความเชื่อและวัฒนธรรมไทย เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่พุทธศาสนิกชนและนักท่องเที่ยวได้ทำบุญและแสดงความเคารพต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งแต่ละอย่างมีความหมายอันเป็นมงคลดังนี้ครับ
ทำไมวัดจึงเป็นศูนย์กลางของการบูชา
- เป็นที่ประดิษฐานสิ่งศักดิ์สิทธิ์: วัดเป็นสถานที่ประดิษฐานพระพุทธรูปสำคัญ ซึ่งเป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้า รวมถึงอาจมีเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ หรือรูปเคารพของเกจิอาจารย์ชื่อดัง การได้มาสักการะบูชาจึงถือเป็นสิริมงคลอย่างยิ่ง
- เป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวพุทธ: วัดเป็นศูนย์กลางของชุมชนและเป็นสถานที่ประกอบศาสนพิธีที่สำคัญ การจัดเตรียมเครื่องสักการะไว้บริการจึงเป็นการอำนวยความสะดวกให้ผู้มีจิตศรัทธา
- ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม: กิจกรรมการไหว้พระทำบุญเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตและวัฒนธรรมไทย การจัดพื้นที่และเครื่องบูชาจึงเป็นการส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสกับวัฒนธรรมอันดีงาม
ความหมายของเครื่องสักการะแต่ละชนิด
การบูชาด้วยดอกไม้ ธูป เทียน และทองคำเปลว ไม่ใช่เป็นเพียงการกระทำตามประเพณี แต่แฝงไปด้วยความหมายเชิงสัญลักษณ์ที่ลึกซึ้ง เพื่อเป็นการน้อมรำลึกถึงพระคุณของพระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์
ดอกไม้: เปรียบได้กับการบูชา พระสงฆ์
- ความหมาย: ดอกไม้มีหลากหลายชนิดและสีสัน เปรียบเหมือนพระสงฆ์ที่มาจากต่างชาติตระกูล ต่างพื้นเพ แต่เมื่อมาอยู่รวมกันในพระธรรมวินัยก็มีความเป็นหนึ่งเดียวที่งดงาม การถวายดอกไม้ที่สวยงาม สดชื่น ยังเชื่อว่าจะส่งผลให้ได้รับอานิสงส์ มีรูปร่างหน้าตางดงามในชาติภพต่อไป และมีชีวิตที่สดใสเบิกบาน
ธูป (โดยทั่วไปใช้ ๓ ดอก) เป็นเครื่องบูชา คุณของพระพุทธเจ้า
ความหมาย: ธูป ๓ ดอก เป็นสัญลักษณ์แทนพระคุณของพระพุทธเจ้า ๓ ประการ คือ
- พระปัญญาคุณ: ปัญญาในการตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง
- พระบริสุทธิคุณ: ความบริสุทธิ์หมดจดจากกิเลส
- พระมหากรุณาธิคุณ: ความเมตตากรุณาอันยิ่งใหญ่ต่อสรรพสัตว์
กลิ่นหอมของธูปที่ลอยขึ้นไป เปรียบเสมือนการส่งคำอธิษฐานและสื่อถึงการเคารพบูชาให้ไปถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์
เทียน (นิยมใช้ ๑-๒ เล่ม): เป็นเครื่องบูชา พระธรรมและพระวินัย
ตามหลักการบูชาในพระพุทธศาสนา การจุดเทียน ๒ เล่มมีความหมายที่ลึกซึ้ง โดยเป็นการบูชา “พระธรรมวินัย” ซึ่งเป็นคำสอนอันเป็นหัวใจและรากฐานของพระพุทธศาสนาทั้งหมด ประกอบด้วย “พระธรรม” และ “พระวินัย”
แสงสว่างของเทียนแต่ละเล่มเป็นเครื่องหมายแทนองค์ประกอบสำคัญ ๒ ประการนี้ ดังนี้
เทียนเล่มที่ ๑ บูชา “พระธรรม” (The Dharma)
พระธรรม คือ สัจธรรมหรือคำสอนของพระพุทธเจ้า
- ความหมาย: เทียนเล่มแรกเป็นเครื่องบูชาระลึกถึงพระธรรม คือ ความจริงอันประเสริฐที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง แล้วทรงนำมาสั่งสอนแก่สรรพสัตว์ พระธรรมเปรียบเสมือน “แสงสว่างทางปัญญา” ที่ส่องนำทางให้มนุษย์พ้นจากความมืดมิดคืออวิชชา (ความไม่รู้) ความโลภ ความโกรธ และความหลง ให้ดำเนินชีวิตไปในทางที่ถูกต้องและนำไปสู่การดับทุกข์ในที่สุด
- เปรียบได้กับ: เนื้อหา หลักการ และเป้าหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา
เทียนเล่มที่ ๒ บูชา “พระวินัย” (The Vinaya)
พระวินัย คือ ระเบียบข้อปฏิบัติสำหรับควบคุมกายและวาจา
- ความหมาย: เทียนเล่มที่สองเป็นการบูชาระลึกถึงพระวินัย คือ ข้อบัญญัติต่างๆ ที่พระพุทธองค์ทรงวางไว้เพื่อเป็นกรอบในการปฏิบัติตนของหมู่สงฆ์ (และเป็นแนวทางสำหรับพุทธศาสนิกชน) ให้อยู่ร่วมกันอย่างสงบเรียบร้อย พระวินัยเปรียบเสมือน “กรอบที่รักษาแสงสว่าง” หรือเป็นโครงสร้างที่ค้ำจุนพระศาสนาให้ดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงและงดงาม
- เปรียบได้กับ: ระบบ ระเบียบ และข้อปฏิบัติเพื่อนำไปสู่เป้าหมายคือพระธรรม
ทองคำเปลว
- ความหมาย: การปิดทองที่องค์พระพุทธรูปหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ถือเป็นการทำบุญและสร้างกุศลที่ยิ่งใหญ่ มีความเชื่อว่าจะส่งผลให้ชีวิตมีสง่าราศี ผิวพรรณผ่องใส มีคนยกย่องนับถือ และเป็นการสืบทอดพระพุทธศาสนาให้คงอยู่รุ่งเรืองต่อไป
ดังนั้น การที่วัดต่างๆ จัดเตรียมสถานที่และเครื่องบูชาเหล่านี้ไว้ ก็เพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้คนได้เข้ามาสร้างบุญกุศล แสดงออกถึงความศรัทธา และเป็นเครื่องเตือนใจให้ระลึกถึงคุณงามความดีตามหลักคำสอนของพระพุทธศาสนานั่นเองครับ

จุดทำบุญลอยเทียนประทีป
การทำบุญลอยเทียนประทีปประจำวันเกิดในวัดหรืองานบุญประเพณีต่างๆ มีเหตุผลและความหมายสำคัญดังนี้
๑. เพื่อ “ลอยทุกข์ ลอยโศก” และเริ่มต้นใหม่ (เหตุผลหลักในภาพ)
นี่คือความเชื่อที่นิยมมากที่สุดในปัจจุบัน ดังที่เห็นบนป้ายในภาพเขียนไว้ชัดเจนว่า “ลอยทุกข์ ลอยโศก รับโชค เสริมดวง”
- ความหมาย: การลอยเทียนประทีปเปรียบเสมือนการนำเอาความทุกข์ ความเศร้าใจ ปัญหาอุปสรรค และสิ่งไม่ดีต่างๆ ในชีวิต ให้ลอยไปกับสายน้ำหรือดับไปพร้อมกับแสงเทียน เป็นการ “สะเดาะเคราะห์” หรือชำระล้างสิ่งอัปมงคลออกจากตัว เพื่อเริ่มต้นใหม่ด้วยจิตใจที่ผ่องใสและเป็นสุข
๒. เพื่อเป็น “พุทธบูชา” และขอพรให้ชีวิตสว่างไสว
- บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์: ตามประเพณีดั้งเดิม การลอยประทีปเป็นการบูชารอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้า บูชาพระเกศแก้วจุฬามณีบนสวรรค์ หรือบูชาพระอุปคุตเถระ
- ขอพรให้ชีวิตรุ่งเรือง: แสงสว่างของเทียน คือสัญลักษณ์ของ “ปัญญา” และ “ความเจริญรุ่งเรือง” ผู้คนจึงเชื่อว่าการลอยเทียนประทีปเป็นการอธิษฐานขอพรให้ชีวิตนับจากนี้ไปมีแต่ความสว่างไสว มีสติปัญญานำทาง และประสบความสำเร็จในทุกๆ ด้าน
๓. เพื่อขอขมา “พระแม่คงคา” (โดยเฉพาะในเทศกาลลอยกระทง)
แม้ในภาพจะเป็นการลอยในอ่างหรือภาชนะที่วัดจัดเตรียมไว้ แต่รากฐานของประเพณีนี้ผูกพันกับการขอขมาต่อสายน้ำที่เราได้ใช้ประโยชน์และอาจเคยล่วงเกิน การลอยเทียนจึงเป็นการแสดงความกตัญญูต่อธรรมชาติ
ทำไมในภาพต้องเป็น “สีประจำวันเกิด”
นี่คือการประยุกต์ความเชื่อเรื่อง “โหราศาสตร์” และ “ดวงชะตา” ซึ่งเป็นที่นิยมในสังคมไทย เข้ากับประเพณีดั้งเดิม
- การเสริมดวงเฉพาะบุคคล: การเลือกเทียนตามสีวันเกิด (เช่น วันอาทิตย์สีแดง, วันจันทร์สีเหลือง) เป็นการเชื่อมโยงการทำบุญเข้ากับดวงชะตาของตนเองโดยตรง ทำให้ผู้ทำบุญรู้สึกว่าเป็นการเสริมสิริมงคลและแก้เคล็ดที่เจาะจงสำหรับตัวเอง
- บทสวดประจำวันเกิด: ดังที่เห็นในป้าย มีการแนะนำบทสวดบูชาพระพุทธรูปปางประจำวันเกิดควบคู่กันไป เป็นการเพิ่มความเข้มขลังและความเป็นสิริมงคลให้กับการทำบุญมากยิ่งขึ้น
สรุปจากภาพและประเพณี: การทำบุญลอยเทียนประทีปในปัจจุบัน โดยเฉพาะในวัดต่างๆ เป็นกิจกรรมที่รวมหลายความเชื่อไว้ด้วยกัน คือ เป็นการบูชาพระรัตนตรัย ลอยเคราะห์โศกออกจากตัว และเสริมดวงชะตาเพื่อรับโชคลาภและความเป็นสิริมงคล ซึ่งการใช้เทียนสีประจำวันเกิดก็เป็นกลยุทธ์ของทางวัดที่ทำให้ผู้คนรู้สึกมีส่วนร่วมและได้รับพรที่ตรงกับตัวเองมากที่สุด

ท้าวจตุคาม ท้าวรามเทพ
ท้าวจตุคาม-ท้าวรามเทพ: เทพสององค์ในร่างเดียว
แม้ในภาพจะแสดงรูปเคารพเป็น ๒ องค์ และมีป้ายชื่อแยกกันชัดเจนว่า “ท้าวจตุคาม” และ “ท้าวรามเทพ” แต่ในความเชื่อและการบูชานั้น ท่านทั้งสองคือเทพองค์เดียวกันที่ถูกเรียกขานในชื่อ “องค์พ่อจตุคามรามเทพ”
การที่ปรากฏเป็น ๒ องค์นั้น มาจากตำนานที่เชื่อว่าท่านคือ พระโอรส ๒ พระองค์ของพระเจ้าจันทรภาณุ กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรศรีวิชัย ซึ่งเป็นศูนย์กลางอำนาจในอดีตของเมืองนครศรีธรรมราช โดยเชื่อว่าดวงวิญญาณของทั้งสองพระองค์ได้สถิตเป็นเทพารักษ์ผู้ปกป้องคุ้มครองพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชและผืนแผ่นดินโดยรอบ
- ท้าวจตุคาม มักถูกตีความว่าเป็นภาคของการปกครอง หรืออำนาจฝ่ายนักรบ
- ท้าวรามเทพ มักถูกตีความว่าเป็นภาคของพลเรือน หรืออำนาจฝ่ายบริหาร
ดังนั้น การบูชา “จตุคามรามเทพ” จึงหมายถึงการบูชาอำนาจบารมีที่สมบูรณ์พร้อมทุกด้าน ทั้งความเก่งกาจในการรบและการปกครอง เปรียบเสมือนกษัตริย์ผู้ทรงธรรมที่ดูแลทุกข์สุขของราษฎรอย่างครบถ้วน
ตำนานและความเป็นมา
องค์จตุคามรามเทพ มีต้นกำเนิดความเชื่อที่ผูกพันอย่างแน่นแฟ้นกับ วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดนครศรีธรรมราช โดยท่านได้รับการนับถือในฐานะ “เทพผู้พิทักษ์พระบรมสารีริกธาตุ”
เรื่องราวของท่านเริ่มเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายทั่วประเทศในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๓๐ จากการสร้าง ศาลหลักเมืองนครศรีธรรมราช และโด่งดังถึงขีดสุดในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๔๙-๒๕๕๐ จากกระแสความศรัทธาในวัตถุมงคล “จตุคามรามเทพ” ที่เชื่อกันว่ามีพุทธคุณโดดเด่นในด้านต่างๆ ดังนี้
- โชคลาภและความมั่งคั่ง: ผู้คนจำนวนมากบูชาท่านเพื่อขอพรให้ประสบความสำเร็จในการค้าขายและธุรกิจ ดลบันดาลให้มีโชคลาภเงินทอง ดังจะเห็นได้จากป้ายในภาพที่เขียนว่า “มหาลาภ มหาบารมี”
- แคล้วคลาดปลอดภัย: ในฐานะเทพนักรบผู้ปกป้องบ้านเมือง เชื่อว่าบารมีของท่านจะช่วยคุ้มครองให้พ้นจากภยันตรายต่างๆ
- ขจัดอุปสรรค: ผู้คนมักขอพรให้ท่านช่วยปัดเป่าปัญหาและความทุกข์ยากในชีวิต
ดังนั้น รูปเคารพของท้าวจตุคามและท้าวรามเทพที่ท่านเห็น จึงเป็นสัญลักษณ์ของเทพผู้ทรงฤทธานุภาพแห่งเมืองนครศรีธรรมราช ผู้เป็นที่พึ่งทางใจและเป็นที่เคารพศรัทธาของผู้คนจำนวนมากในเรื่องความสำเร็จ โชคลาภ และการปกป้องคุ้มครองภัย