วัดชมโพธยาราม

ขอบคุณที่แชร์

วัดชมโพธยาราม ศูนย์รวมสังเวชนียสถานจำลองแห่งเมืองฉะเชิงเทรา

ประวัติและการก่อสร้าง

วัดชมโพธยารามเริ่มก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๓ โดย พระครูปลัดสุโพธิ์ จันทาโภ ซึ่งได้รับถวายที่ดินกว่า ๑๒ ไร่จากนายชมและนางเยี่ยม ทองคำเปลว สองสามีภรรยาผู้มีจิตศรัทธา

เดิมที สถานที่แห่งนี้เป็นเพียง สำนักสงฆ์พุทธคยานุสรณ์ แต่ต่อมาได้มีการพัฒนาและก่อสร้างอาคารต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นกุฏิ ศาลาการเปรียญ อุโบสถ รวมถึง สังเวชนียสถานจำลองทั้ง ๔ แห่ง ซึ่งแล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๕๔๔ สำนักสงฆ์แห่งนี้ได้รับการยกฐานะเป็นวัดอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ ๒๓ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๕ และได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อวันที่ ๒๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๘

ลำดับเจ้าอาวาส

๑. พระครูปลัดสุโพธิ์ จนฺทาโภ
๒. พระมหาจตุพล จนฺทโชโต (ลาสิกขาแล้ว)
๓. พระประยอม กลฺยาโณ

สถานที่สำคัญภายในวัด

วัดชมโพธยาราม เป็นวัดราษฎร์ในสังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ตั้งอยู่ในตำบลโสธร อำเภอเมืองฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทรา

เอกลักษณ์ทางสถาปัตยกรรมที่สำคัญของวัดชมโพธยาราม จังหวัดฉะเชิงเทรา คือ การสร้างปูชนียสถานประเภทสถูปเจดีย์ ซึ่งจำลองแบบมาจาก สังเวชนียสถาน ๔ ตำบล อันเป็นสถานที่สำคัญในพุทธประวัติ

สถาปัตยกรรมที่โดดเด่นที่สุดคือ พุทธคยาเจดีย์จำลอง ซึ่งถอดแบบจากมหาสถูปพุทธคยา ณ ประเทศอินเดีย อันเป็นสถานที่ตรัสรู้ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์เจดีย์มีพุทธลักษณะที่โดดเด่นด้วยสีทองอร่าม ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปเพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้สักการะบูชา พร้อมทั้งประดับด้วยภาพจิตรกรรมฝาผนังที่บอกเล่าเรื่องราวพุทธประวัติ

ในบริเวณใกล้เคียงกัน ปรากฏ ธัมเมกขสถูปจำลอง ซึ่งมีรูปทรงโอคว่ำหรือทรงบาตรคว่ำตามแบบฉบับของธัมเมกขสถูป ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เมืองสารนาถ ประเทศอินเดีย อันเป็นสัญลักษณ์ของสถานที่ที่พระพุทธองค์ทรงแสดงปฐมเทศนาโปรดปัญจวัคคีย์ บริเวณรอบองค์สถูปมีการประดิษฐานพระพุทธรูปเพื่อเป็นพุทธบูชา

นอกจากนี้ วัดยังได้จำลองสังเวชนียสถานอีกสองแห่ง ได้แก่ สถานที่ประสูติและสถานที่ปรินิพพาน โดยจัดสร้างเป็น อุทยานลุมพินีวันจำลอง ซึ่งประกอบด้วยวิหารประดิษฐานพระรูปพระนางสิริมหามายา และ สถานที่ปรินิพพานจำลอง ซึ่งมีลักษณะเป็นอาคารทรงโดมขนาดใหญ่ ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปปางไสยาสน์ (ปางปรินิพพาน)

โดยสรุป สถูปเจดีย์และปูชนียสถานจำลองภายในวัดชมโพธยารามมิได้มีสถานะเป็นเพียงสถาปัตยกรรมทางศาสนาเท่านั้น แต่ยังมีนัยสำคัญในฐานะที่เป็นอุปลักษณ์ของสังเวชนียสถานทั้งสี่ สถานที่แห่งนี้จึงมีบทบาทสำคัญในการเป็นศูนย์รวมความศรัทธาของพุทธศาสนิกชน เปิดโอกาสให้สามารถจาริกแสวงบุญและน้อมรำลึกถึงพุทธานุสติได้โดยมิต้องเดินทางไปยังประเทศอินเดียและเนปาล

ด้านข้างอุโบสถ มีลวดลายสวยงาม

ลักษณะโดยรวมและศิลปะ

ตัวอุโบสถ (โบสถ์) ตั้งอยู่บนฐานที่ยกสูงทาสีขาว ทำให้ตัวอาคารดูโดดเด่นและสง่างาม ผนังโบสถ์เป็นสีขาวเรียบ ขับให้ส่วนหลังคาและเครื่องประดับต่างๆ ที่เป็นสีทองอร่ามมีความโดดเด่นยิ่งขึ้น

  • โครงสร้าง เป็นอาคารทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีเสาพาไลรองรับชายคารอบด้าน
  • ศิลปะ เป็นศิลปะไทยประเพณีแบบรัตนโกสินทร์ ที่เน้นความอ่อนช้อยของลวดลาย ความสมดุลของรูปทรง และการใช้สีที่ตัดกันอย่าง ทอง-แดง-ขาว เพื่อสร้างความงดงามอลังการ

หลังคา หน้าบันและใบระกา

ส่วนหลังคาถือเป็นส่วนที่แสดงเอกลักษณ์ทางศิลปะได้ชัดเจนที่สุด

หน้าบัน (Na Ban) คือส่วนสามเหลี่ยมบริเวณด้านหน้าและหลังของหลังคา จากในภาพจะเห็นว่าหน้าบันใช้พื้นหลังสีแดงชาด ประดับด้วยลวดลายกระหนกเปลวสีทองที่อ่อนช้อยและซับซ้อน ตรงกลางของหน้าบันมักจะประดับด้วยรูปเคารพสำคัญ เช่น พระนารายณ์ทรงสุบรรณ (ครุฑ) หรือเทพองค์อื่นๆ ตามคติของวัดนั้นๆ

เครื่องลำยอง คือส่วนประกอบที่ประดับตามขอบหลังคา ประกอบด้วย:

  • ช่อฟ้า (Chofah) คือส่วนปลายสุดของสันหลังคา มีลักษณะคล้ายหัวพญานาคหรือหงส์ เป็นสัญลักษณ์ของสวรรค์
  • ใบระกา (Bai Raka) คือส่วนที่เรียงต่อกันลงมาตามแนวสันหลังคา มีลักษณะเป็นซี่ๆ คล้ายครีบปลาหรือเปลวไฟ สื่อถึงปีกของพญาครุฑหรือเกล็ดของพญานาค
  • หางหงส์ (Hang Hong) คือส่วนปลายสุดของชายคา มีลักษณะงอนช้อยสวยงาม

ซุ้มเสมาหน้าอุโบสถ

บริเวณด้านหน้าและรอบอุโบสถ จะเห็นซุ้มเสมาตั้งเรียงรายอยู่

  • ความสำคัญ ใบเสมา (หินที่อยู่ด้านในซุ้ม) เป็นเครื่องหมายบอกขอบเขตพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้ในการประกอบพิธีสังฆกรรมของพระสงฆ์ เช่น การบวช
  • ลักษณะ ซุ้มเสมาของวัดชมโพธยารามถูกสร้างขึ้นอย่างสวยงาม มีลักษณะคล้ายมงกุฎหรือเจดีย์ย่อส่วน ฐานซ้อนกันหลายชั้น ประดับด้วยลวดลายและกระจกสี มีรูปแบบศิลปะที่กลมกลืนและสอดคล้องกับตัวอุโบสถหลัก เป็นการให้ความสำคัญกับเขตศักดิ์สิทธิ์ของวัดครับ

หน้าบันแห่งนี้โดดเด่นด้วยลวดลายแกะสลักปิดทองอันวิจิตรตระการตาบนพื้นหลังคาสีแดงสด ตัดกับสีฟ้าครามของท้องฟ้าอย่างงดงามลงตัว โดยมีองค์ประกอบที่สำคัญตามแบบแผนของสถาปัตยกรรมไทยประเพณี ได้แก่

  • ช่อฟ้า (Chofah) ตั้งอยู่บนยอดสูงสุดของหน้าบัน มีลักษณะเป็นรูปครุฑหรือหงส์เชิดหน้าอย่างสง่างาม ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญที่บ่งบอกถึงความเป็นอาคารทางพุทธศาสนา
  • ใบระกา (Bai Raka) คือส่วนที่ประดับอยู่บริเวณขอบของสันหลังคาทั้งสองด้านที่ลาดลงมา มีลักษณะเป็นแผ่นไม้แกะสลักเป็นลวดลายคล้ายใบไม้หรือขนนกเรียงต่อกันเป็นแนวอย่างมีระเบียบ ช่วยเสริมให้กรอบของหน้าบันดูอ่อนช้อยและสวยงามยิ่งขึ้น

สำหรับลวดลายศิลปะตรงกลางหน้าบันนั้น มีรายละเอียดที่น่าสนใจดังนี้

  • องค์เทพประธาน ตรงกึ่งกลางของหน้าบันเป็นรูป พระนารายณ์ (พระวิษณุ) ซึ่งเป็นมหาเทพสี่กร ในแต่ละกรทรงถืออาวุธและสิ่งมงคลตามที่ระบุ คือ สังข์, จักร, พระขรรค์ และดอกบัว
  • พญาครุฑ องค์พระนารายณ์ประทับยืนอย่างมั่นคงบนบ่าของ พญาครุฑ ซึ่งเป็นพาหนะประจำพระองค์ พญาครุฑอยู่ในท่ากางปีกอย่างทรงพลัง แสดงถึงอำนาจและบารมี
  • เทพพนม (Thepphanom) ในส่วนล่างถัดจากพญาครุฑลงมา ประดับด้วยลวดลายของเทพพนมหลายองค์เรียงกันอย่างเป็นระเบียบ อยู่ในท่าประนมมือเพื่อแสดงความเคารพบูชา

โดยรวมแล้ว หน้าบันของวัดชมโพธยารามแห่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงคติความเชื่อในศาสนาพราหมณ์-ฮินดูที่ผสมผสานอยู่ในพุทธศาสนานิกายเถรวาทในไทย โดยเฉพาะการอัญเชิญรูปพระนารายณ์ทรงครุฑมาประดับ ซึ่งมีความหมายถึงการปกป้องคุ้มครองพระพุทธศาสนาให้พ้นจากภยันตรายทั้งปวง นับเป็นผลงานพุทธศิลป์ที่มีทั้งความงดงามทางสุนทรียะและเปี่ยมด้วยความหมายอันเป็นมงคลอย่างยิ่ง

ซุ้มลวดลายข้างอุโบสถ

ลักษณะโดยรวมของซุ้มหน้าต่าง
ซุ้มหน้าต่างนี้มีลักษณะเป็น ซุ้มทรงปราสาท หรือ ซุ้มยอด ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมที่ได้รับอิทธิพลจากเรือนยอดของปราสาทราชมณเฑียรในสมัยโบราณ นำมาย่อส่วนเพื่อประดับตกแต่งหน้าต่างพระอุโบสถให้ดูสูงค่าและมีความสำคัญ โครงสร้างของซุ้มมีลักษณะซ้อนชั้นกันขึ้นไปหลายชั้นจนถึงยอดแหลมด้านบนสุด แสดงถึงฝีมือเชิงช่างที่ประณีตและซับซ้อน

ลวดลายและศิลปะ
ตัวซุ้มประดับประดาด้วยลวดลายปิดทองคำเปลวเป็นหลัก ทำให้เกิดความแวววาวและหรูหรา ตัดกับสีพื้นโทนสีแดง น้ำเงิน และเขียวในส่วนต่างๆ ของซุ้ม ทำให้ลวดลายดูมีมิติและโดดเด่นขึ้นมาจากผนังสีขาวของพระอุโบสถ ลวดลายที่ใช้เป็นลายไทยที่มีความอ่อนช้อย งดงาม

กรอบสามเหลี่ยมและพญาครุฑ
ตามที่คุณสังเกตนั้นถูกต้องครับ ในส่วนฐานของเรือนยอดที่อยู่เหนือกรอบหน้าต่าง มีลักษณะเป็น หน้าบันขนาดเล็กรูปสามเหลี่ยม ภายในประดับด้วย รูปปั้นพญาครุฑสีทอง กำลังกางปีกอย่างสง่างาม บนพื้นหลังที่ทาด้วย สีแดง ซึ่งตามคติความเชื่อ พญาครุฑเป็นสัญลักษณ์ของพลังอำนาจและการปกป้องคุ้มครองสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้

โดยสรุป ซุ้มหน้าต่างของอุโบสถวัดชมโพธยารามเป็นตัวอย่างที่งดงามของงานสถาปัตยกรรมและมัณฑนศิลป์ไทย ที่ผสมผสานโครงสร้างอันสง่างามเข้ากับลวดลายอันวิจิตรและความหมายเชิงสัญลักษณ์ได้อย่างลงตัวครับ

ภาพนี้คือ บันไดพญานาค บริเวณทางเข้าพระอุโบสถวัดชมโพธยาราม ซึ่งเป็นองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมที่เปี่ยมด้วยความงามและความหมายอันลึกซึ้ง สามารถบรรยายลักษณะและความเชื่อที่เกี่ยวข้องได้ดังนี้

ลักษณะของพญานาคในภาพ

พญานาคที่ปรากฏในภาพนี้ถูกสร้างสรรค์ขึ้นอย่างงดงามและทรงพลัง มีลักษณะเด่นคือ

  • โครงสร้าง เป็นพญานาคที่ทอดลำตัวยาวไปตามแนวของบันได ทำหน้าที่เป็นราวบันได (เรียกว่า “บันไดนาค”) ซึ่งเป็นรูปแบบที่นิยมสร้างในวัดสำคัญต่างๆ
  • เศียรพญานาค เศียรของพญานาคตั้งสง่าอยู่บริเวณเชิงบันได มี ๑ เศียร แต่มีหงอนขนาดใหญ่แสดงถึงบารมีและอำนาจ ดวงตาเบิกกว้าง ปากอ้าเล็กน้อยเผยให้เห็นเขี้ยว แสดงถึงการเป็นผู้พิทักษ์ที่ตื่นตัวและพร้อมปกป้องคุ้มครองสถานที่แห่งนี้
  • ลำตัว ลำตัวมีขนาดใหญ่และแข็งแรง ประดับด้วยเกล็ดสีทองอร่ามตลอดทั้งลำตัว เมื่อกระทบกับแสงแดดจะเกิดประกายงดงาม การสร้างเกล็ดอย่างละเอียดลออทำให้พญานาคดูสมจริงและมีชีวิตชีวา
  • สีสัน การใช้สีทองเป็นหลักนั้นสื่อถึงความสูงส่ง ความศักดิ์สิทธิ์ และความเป็นทิพย์ของพญานาค
ความเชื่อและความศรัทธาของคนไทยต่อพญานาค

พญานาคเป็นสัตว์ในตำนานที่มีความสำคัญและผูกพันกับความเชื่อของคนไทยอย่างลึกซึ้งในหลายมิติ ดังนี้

  • ผู้พิทักษ์พระพุทธศาสนา: ตำนานที่สำคัญที่สุดคือเรื่องราวของ “พญามุจลินท์นาคราช” ที่ได้แผ่พังพานปรกพระเศียรขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อป้องกันพายุฝนในระหว่างที่พระองค์ทรงบำเพ็ญเพียรเป็นเวลา 7 วัน ด้วยเหตุนี้ พญานาคจึงได้รับการยกย่องให้เป็นผู้พิทักษ์พระพุทธเจ้าและปกป้องรักษาศาสนสถานให้พ้นจากสิ่งชั่วร้าย
  • สัญลักษณ์แห่งน้ำและความอุดมสมบูรณ์: คนไทยเชื่อว่าพญานาคเป็นเจ้าแห่งน้ำและอาศัยอยู่ในเมืองบาดาล มีอิทธิฤทธิ์บันดาลให้ฝนตกต้องตามฤดูกาลได้ ดังนั้น พญานาคจึงเป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ ความชุ่มชื้น และการเกษตรกรรม
  • สะพานสายรุ้งเชื่อมโลกมนุษย์กับสวรรค์: บันไดนาคที่ทอดตัวเข้าสู่พระอุโบสถนั้น มีนัยเชิงสัญลักษณ์เปรียบเสมือนสะพานสายรุ้งที่เชื่อมระหว่างโลกมนุษย์กับแดนสวรรค์หรือพุทธภูมิอันศักดิ์สิทธิ์ การเดินขึ้นบันไดนาคจึงเปรียบเหมือนการเดินทางเข้าสู่เขตแดนอันบริสุทธิ์
  • ผู้บันดาลโชคลาภและทรัพย์สมบัติ: ในปัจจุบัน ความเชื่อเรื่องพญานาคยังคงฝังรากลึกในสังคมไทย ผู้คนจำนวนมากศรัทธาว่าการบูชาพญานาคสามารถบันดาลโชคลาภ ทรัพย์สินเงินทอง และความสำเร็จให้แก่ผู้ที่เคารพบูชาได้

ดังนั้น พญานาคที่ทางเข้าอุโบสถวัดชมโพธยารามนี้ จึงไม่ได้เป็นเพียงงานศิลปะที่สวยงามเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญลักษณ์อันทรงพลังที่สะท้อนถึงศรัทธา ความเชื่อ และการเป็นผู้พิทักษ์ที่คอยปกป้องคุ้มครองสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ไว้

บริเวณลานวัด วัดชมโพธิ์
ป้ายแปลกไม่เหมือนใคร ทำเป็นรูปทรงหิน บอกสถานที่ ที่น่าสนใจตามจุดต่างๆภายในวัด
เจดีย์พุทธคยาหรือพระมหาโพธิ์เจดีย์ คืออนุสรณ์สถานแห่งการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีลักษณะเป็นเจดีย์สี่เหลี่ยมทรงสูง เป็นสถาปัตยกรรมและศิลปะแบบอินเดีย สูงประมาณ ๑๗๐ ฟุต แบ่งออกเป็น ๒ ชั้น ชั้นแรกประดิษฐานพระพุทธเมตตา พระพุทธรูปปางมารวิชัยศิลปะปาละ เป็นพระพุทธรูปใหญ่หนึ่งเดียวในเจดีย์ที่ไม่ถูกทำลายจากกษัตริย์ชาวฮินดูในสมัยที่มีการกวาดล้างพระพุทธศาสนาในอินเดีย ส่วนชั้นที่ ๒ ประดิษฐานพระพุทธปฏิมาปางประทานพร บริเวณโดยรอบเจดีย์ มีเจดีย์บริวารล้อมอยู่ทั้ง ๔ ทิศ อีกทั้งยังล้อมรอบด้วยโบราณวัตถุ โบราณสถานสำคัญ เช่น ต้นพระศรีมหาโพธิ์ พระแท่นวัชรอาสน์ ที่ประทับตรัสรู้ และอนิมิสสเจดีย์ เป็นต้น ซึ่งนอกจากพุทธสถานโบราณแล้ว บริเวณโดยรอบพุทธคยายังเป็นที่ตั้งของวัดพุทธนานาชาติ รวมทั้งวัดไทยคือ วัดไทยพุทธคยา เดิมเจดีย์พุทธคยาเป็นวิหารขนาดไม่ใหญ่นัก ต่อมาในปี พ.ศ. ๖๗๔ พระเจ้าหุวิชกะทรงบูรณะเพิ่มเติมให้มีขนาดใหญ่กว่าเดิม ในปัจจุบันเจดีย์พุทธคยาถือเป็นแลนด์มาร์คของกลุ่มพุทธสถานพุทธคยา

วัดชมโพธยาราม ได้จำลองเจดีย์พุทธคยาหรือพระมหาโพธิ์เจดีย์มาประดิษฐานไว้ที่วัดชมโพธยาราม เป็นเจดีย์ที่สวยงาม ทาสีทองเหลืองอร่าม ดูงามตาไม่แพ้ของจริง ทำให้เกิดความเลื่อมใสศรัทธาเป็นอย่างยิ่ง จุดประสงค์ของการก่อสร้าง เพื่อให้ประชาชนที่ไม่มีโอกาสไปประเทศอินเดีย ได้มากราบไว้บูชา ขอพร ขอบารมี เสริมโชค เสริมลาภ เสริมอำนาจ เสริมวาสนาบารมี และน้อมลำรึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า โดยที่ไม่ต้องไปประเทศอินเดีย

ยอดเจดีย์พุทธคยาจำลอง

ยอดเจดีย์ในภาพมีรูปทรงที่เป็นเอกลักษณ์ตามแบบเจดีย์พุทธคยา ประเทศอินเดีย ซึ่งแตกต่างจากเจดีย์ทรงระฆังคว่ำที่พบเห็นได้ทั่วไปในศิลปะไทย โดยมีลักษณะเป็นทรงสี่เหลี่ยมที่ค่อยๆ สอบขึ้นไปด้านบน และมีองค์ประกอบสำคัญดังนี้

  • ปลียอด ส่วนบนสุดเป็นยอดแหลมเรียวสูงขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างสง่างาม
  • องค์เจดีย์ส่วนบน ถัดลงมาจากปลียอด เป็นองค์เจดีย์ทรงกลมคล้ายโอคว่ำหรือดอกบัวตูมขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นลักษณะเด่นของเจดีย์พุทธคยา
  • ฐานสี่เหลี่ยม: องค์เจดีย์ทรงกลมนี้ตั้งอยู่บนฐานทรงสี่เหลี่ยมที่ย่อมุมเล็กน้อย ทำให้รูปทรงโดยรวมมีความมั่นคงและสง่างาม

ลวดลายและสีสัน

  • สีสัน ยอดเจดีย์ทั้งหมดถูกทาด้วย สีทองอร่าม ทำให้เกิดความสว่างไสว เจิดจ้า และดูศักดิ์สิทธิ์อย่างยิ่ง เมื่อตัดกับสีของท้องฟ้าที่โปร่งใสและเป็น สีครามสดใส ในภาพ ยิ่งขับให้องค์เจดีย์ดูโดดเด่นและน่าเลื่อมใสศรัทธามากยิ่งขึ้น ในบางจุดจะเห็นร่องรอยของสีที่ดูเก่าตามกาลเวลา ซึ่งช่วยเสริมให้เจดีย์ดูมีเรื่องราวและมนต์ขลัง
  • ลวดลาย ลวดลายที่โดดเด่นที่สุดคือบริเวณองค์เจดีย์ทรงกลม ซึ่งมีการทำ ลวดลายเป็นกลีบหรือเป็นร่องในแนวตั้งโดยรอบ คล้ายกับกลีบบัวที่ซ้อนกันอยู่ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ที่สำคัญของเจดีย์พุทธคยา ในขณะที่ส่วนฐานสี่เหลี่ยมด้านล่างมีลวดลายที่เรียบง่ายกว่า เป็นเส้นตรงและกรอบสี่เหลี่ยมที่ดูมั่นคง

โดยสรุป ยอดเจดีย์พุทธคยาจำลององค์นี้ มีลักษณะที่ผสมผสานระหว่างรูปทรงอันเป็นเอกลักษณ์ สีทองอันศักดิ์สิทธิ์ และลวดลายกลีบบัวที่งดงาม สร้างภาพลักษณ์ที่น่าจดจำและเป็นที่เคารพศรัทธาแก่ผู้ที่ได้พบเห็น

ด้านหน้าเจดีย์พุทธคยา

ภาพรวมขององค์เจดีย์

เจดีย์องค์นี้เป็นสถาปัตยกรรมที่จำลองแบบมาจากมหาเจดีย์พุทธคยา สถานที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าในประเทศอินเดีย มีลักษณะเป็นเจดีย์ทรงสี่เหลี่ยมสูงใหญ่สง่างาม แบ่งเป็นชั้นซ้อนกันขึ้นไปจนถึงยอดแหลม การใช้ สีทองอร่าม ทาทั่วทั้งองค์เจดีย์ทำให้ดูสว่างไสวและเปี่ยมด้วยพลังแห่งศรัทธา โดยเฉพาะเมื่อตัดกับสีฟ้าเข้มของท้องฟ้า ยิ่งขับให้องค์เจดีย์โดดเด่นเป็นอย่างยิ่ง

ส่วนประกอบต่างๆ ของเจดีย์

  • เจดีย์ประธานและเจดีย์บริวาร โครงสร้างหลักคือองค์เจดีย์ประธานที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงกลาง มีเจดีย์บริวารองค์เล็กกว่าตั้งอยู่ทางซ้ายและขวา ของเจดีย์องค์ประธาน ซึ่งมีรูปแบบสถาปัตยกรรมและสีทองเช่นเดียวกัน ทำให้ภาพรวมของหมู่เจดีย์มีความสมดุลและงดงามยิ่งขึ้น
  • ลวดลายและซุ้มประดับ: ผนังขององค์เจดีย์ทั้งองค์ประธานและเจดีย์บริวาร ไม่ได้เป็นผนังเรียบ แต่ประดับด้วย ซุ้มจรณัม (ช่องตื้นๆ บนผนัง) และลวดลายสถาปัตยกรรมซ้อนกันเป็นชั้นๆ ตลอดความสูงขององค์เจดีย์ ซึ่งในอดีตซุ้มเหล่านี้มักใช้ประดิษฐานพระพุทธรูป การทำลวดลายเช่นนี้ทำให้องค์เจดีย์ดูมีมิติ มีรายละเอียดที่ซับซ้อน และแสดงถึงฝีมือเชิงช่างที่ประณีต
  • ฐานเจดีย์และซุ้มรูปใบเสมา: ในส่วนฐานของเจดีย์ซึ่งเป็นชั้นล่างสุด มีรายละเอียดที่น่าสนใจมาก คือมีแถบยาวที่ประดับด้วย ช่องซึ่งมีรูปทรงอ่อนช้อยคล้าย “ใบเสมา” เรียงต่อกันเป็นแนวยาว และภายในช่องรูปใบเสมาแต่ละช่องนั้นได้ ประดิษฐานพระพุทธรูปองค์เล็กๆ ปางสมาธิ เอาไว้ ซึ่งถือเป็นรายละเอียดที่งดงามและเปี่ยมด้วยความหมายทางพุทธศิลป์ แสดงถึงการเคารพบูชาพระพุทธเจ้าจำนวนมาก
  • ส่วนทางเข้า ที่ฐานด้านหน้าสุดของเจดีย์ประธาน จะเห็นประตูม้วนเหล็กปิดอยู่ สันนิษฐานว่าเป็นทางเข้าไปสู่ภายในองค์เจดีย์ และมีป้ายข้อมูลสีน้ำเงินติดอยู่เหนือประตู

โดยสรุป เจดีย์พุทธคยาจำลอง ณ วัดชมโพธยารามองค์นี้ เป็นพุทธสถาปัตยกรรมที่สร้างขึ้นอย่างยิ่งใหญ่และใส่ใจในรายละเอียด ทั้งโครงสร้างหมู่เจดีย์ ลวดลายซุ้มประดับนับร้อยนับพัน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการประดิษฐานพระพุทธรูปในซุ้มรูปใบเสมา ทำให้เป็นเจดีย์ที่ควรค่าแก่การไปชมและสักการะเป็นอย่างยิ่ง

ภาพรวมวัดชมโพธยาราม

จากภาพมุมสูงของวัดชมโพธยาราม เผยให้เห็นภาพของพุทธสถานอันกว้างใหญ่และเปี่ยมด้วยเอกลักษณ์ ซึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางพื้นที่สีเขียวและชุมชนโดยรอบ สิ่งแรกที่ดึงดูดสายตาและเป็นหัวใจสำคัญของวัดแห่งนี้คือ พระมหาเจดีย์พุทธคยาจำลองสีทองอร่าม ที่ตั้งตระหง่านอยู่เกือบกึ่งกลางของพื้นที่ ด้วยรูปทรงสี่เหลี่ยมสูงใหญ่ตามแบบฉบับของมหาเจดีย์ในประเทศอินเดีย ทำให้เป็นสัญลักษณ์ที่โดดเด่นและเป็นศูนย์รวมแห่งศรัทธาของวัด

ขณะที่เจดีย์พุทธคยาจำลองเป็นตัวแทนของศรัทธาสายสากล ในอีกมุมหนึ่งของวัดก็ยังคงรักษาจิตวิญญาณของสถาปัตยกรรมไทยประเพณีไว้ได้อย่างงดงาม นั่นคือ พระอุโบสถ ที่มีหลังคาสีแดงซ้อนชั้น ประดับด้วยช่อฟ้าใบระกาอันอ่อนช้อย ล้อมรอบด้วยกำแพงแก้ว เป็นเขตพุทธาวาสอันศักดิ์สิทธิ์ นอกจากนี้ยังมีศาลาทรงไทยอีกหลายหลังกระจายตัวอยู่โดยรอบ ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นที่ประดิษฐาน หลวงพ่อโสธรจำลอง เพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้สักการะ

ความพิเศษอย่างยิ่งของวัดชมโพธยารามคือการเป็นที่ตั้งของ สังเวชนียสถาน ๔ ตำบลจำลอง ซึ่งนอกเหนือจากเจดีย์พุทธคยาแล้ว เมื่อทอดสายตาไปยังอีกฟากหนึ่งของวัดจะพบกับเจดีย์ทรงบาตรคว่ำสีแดงอิฐ ซึ่งคาดว่าเป็น ธัมเมกขสถูปจำลอง อันเป็นสัญลักษณ์ของสถานที่แสดงปฐมเทศนา ในบริเวณเดียวกันนั้นยังเป็นที่ประดิษฐาน พระพุทธรูปปางไสยาสน์ ซึ่งเป็นตัวแทนของสถานที่ปรินิพพาน และมีพื้นที่สีเขียวที่จัดไว้เป็น อุทยานลุมพินีวันจำลอง ทำให้ผู้มาเยือนสามารถสัมผัสบรรยากาศและรำลึกถึงพุทธประวัติได้ครบทั้ง 4 สถานที่สำคัญ

นอกเหนือจากศาสนสถานหลักเหล่านี้ ภาพรวมของวัดยังประกอบไปด้วย เมรุ ทรงมณฑปยอดแหลมสำหรับประกอบพิธีฌาปนกิจ และหมู่ กุฏิสงฆ์ ที่เป็นที่พำนักของพระภิกษุสามเณร ทั้งหมดนี้เชื่อมต่อกันด้วยลานวัดและถนน ก่อให้เกิดเป็นภาพของวัดที่สมบูรณ์พร้อมทั้งด้านพุทธาวาสและสังฆาวาส ดังนั้น วัดชมโพธยารามจึงไม่ได้เป็นเพียงศาสนสถานสำหรับการประกอบพิธีกรรมของชุมชนเท่านั้น แต่ยังเป็นหมุดหมายสำคัญที่เชื้อเชิญให้พุทธศาสนิกชนได้เดินทางมาจาริกแสวงบุญและเรียนรู้พุทธประวัติผ่านสถาปัตยกรรมจำลองอันยิ่งใหญ่และงดงามแห่งนี้

ด้านข้างเจดีย์ มีลวดลายสวยงาม มีช่องสำรับประดิษฐานองค์พระพุทธรูป

ภาพถ่ายระยะใกล้ของผนังเจดีย์พุทธคยาจำลอง เผยให้เห็นรายละเอียดทางศิลปะอันวิจิตรงดงามที่เต็มเปี่ยมไปด้วยสัญลักษณ์แห่งความศรัทธา ทั้งหมดถูกฉาบทาด้วยสีทองอร่าม ทำให้เกิดมิติที่งดงามเมื่อแสงและเงาตกกระทบลงบนลวดลายแกะสลักอันลึกซึ้ง องค์ประกอบหลักที่เรียงรายกันอย่างเป็นระเบียบคือซุ้มโค้งที่ประดิษฐาน พระพุทธรูปปางสมาธิสีทอง ซึ่งแต่ละองค์ประทับนั่งอย่างสงบนิ่งบนฐานบัว แสดงถึงความสงบและความหลุดพ้นอันเป็นแก่นแท้ของพระพุทธศาสนา การวางเรียงพระพุทธรูปในลักษณะนี้สะท้อนถึงพระพุทธเจ้าจำนวนมากมายที่ได้ตรัสรู้ในอดีตและที่จะมาตรัสรู้ในอนาคต

ในระหว่างซุ้มแต่ละช่องนั้น คั่นด้วยเสาประดับลวดลายที่โดดเด่นคือ รูปปั้นหน้าสิงห์ อันทรงพลัง ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์คุ้มครองพระธรรมคำสอนและสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ ถัดจากหน้าสิงห์ลงมาเป็นลวดลายแกะสลักที่เติมเต็มให้เสาคั่นดูสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ส่วนฐานด้านล่างรองรับซุ้มพระเหล่านี้ด้วยแถบลวดลายแกะสลักในแนวราบ เป็น ลายก้านขดหรือลายกระหนก ที่มีความพลิ้วไหวและต่อเนื่อง งดงามตามแบบฉบับของศิลปะไทยที่ได้รับอิทธิพลจากธรรมชาติ

ภาพของลวดลายบนผนังเจดีย์ส่วนนี้จึงเป็นดั่งภาพย่อส่วนที่สะท้อนศรัทธาอันยิ่งใหญ่ ซึ่งผสมผสานความสงบนิ่งขององค์พระพุทธะ ความแข็งแกร่งทรงพลังของผู้พิทักษ์ และความอ่อนช้อยของศิลปะลวดลายไทยเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว ทั้งหมดหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวด้วยสีทองอันเป็นสัญลักษณ์ของความสูงค่าและเป็นทิพย์ในคติพุทธศาสนา

ภายในเจดีย์ประดิษฐานองค์พระจำลอง พระพุทธรูปปางต่างๆรวมถึงรูปปั้นเกจิเถราจารย์และจุดทำบุญที่สำคัญ ส่วนภายในรอบเจดีย์จะมีจิตกรรมภาพวาดฝาผนังจากสถานที่ต่างๆสวยงาม
ภายในเจดีย์พุทธคยาประดิษฐานพระพุทธรูป, รูปหล่อเกจิอาจารย์ และองค์เจ้าแม่กวนอิม

เมื่อก้าวเข้าสู่ภายในองค์พระเจดีย์พุทธคยาจำลองแห่งวัดชมโพธยาราม จะได้พบกับบรรยากาศอันน่าเลื่อมใสศรัทธา ซึ่งแตกต่างจากภายนอกโดยสิ้นเชิง ที่นี่เป็นดั่งศูนย์รวมจิตใจของพุทธศาสนิกชนจากหลากหลายความเชื่อ ที่มารวมกันอยู่ภายใต้ร่มเงาแห่งพระพุทธบารมี แสงจากโคมระย้าคริสตัลสาดส่องลงมายังศาสนวัตถุต่างๆ ทำให้พื้นที่ภายในสว่างไสวและเปี่ยมด้วยชีวิตชีวา

ณ ศูนย์กลางของห้องโถง ประดิษฐาน พระพุทธชินราชจำลอง องค์พระประธานที่งดงามด้วยพุทธลักษณะอันเป็นเอกลักษณ์ โดยมีเรือนแก้วโค้งมนเป็นฉากหลัง ทำให้องค์พระดูโดดเด่นและเปี่ยมด้วยพระเมตตา ถัดมาทางด้านซ้ายมือมี พระโพธิสัตว์กวนอิม (เจ้าแม่กวนอิม) ในท่ายืนสีทองอร่าม ซึ่งสะท้อนถึงการผสมผสานความเชื่อสายมหายานที่ได้รับการนับถืออย่างกว้างขวางในหมู่ชาวไทย นอกจากนี้ยังมีพระพุทธรูปสำคัญอีกหลายองค์รวมถึง หลวงพ่อโสธร ซึ่งแม้จะเป็นองค์จำลองขนาดเล็กกว่า แต่ก็มีตู้บริจาคและบทสวดตั้งไว้ให้สาธุชนได้สักการะโดยเฉพาะ

นอกเหนือจากองค์พระพุทธและพระโพธิสัตว์แล้ว ที่นี่ยังเป็นที่ประดิษฐานรูปเหมือนของพระเกจิอาจารย์ผู้เป็นที่เคารพอย่างสูง ได้แก่ รูปหล่อ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังษี) และ หลวงปู่ทวด ซึ่งบางองค์ประดิษฐานอยู่ในตู้กระจกอย่างสมเกียรติ เพื่อให้เหล่าลูกศิษย์และผู้มีจิตศรัทธาได้เข้ามากราบไหว้ขอพรอย่างใกล้ชิด

บรรยากาศของความศรัทธาที่ยังมีชีวิตชีวานั้นปรากฏชัดผ่านเครื่องสักการะต่างๆ ทั้งกระถางธูปขนาดใหญ่ใจกลางห้อง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งมุมสำหรับ เสี่ยงเซียมซี ที่มีไม้ติ้วในกระบอกและชั้นวางใบคำทำนายเตรียมไว้พร้อมสรรพ ซึ่งเป็นวิธีการแสวงหาที่พึ่งทางใจและขอคำชี้แนะตามความเชื่อแต่โบราณ

ดังนั้น พื้นที่ภายในองค์เจดีย์แห่งนี้จึงมิใช่เป็นเพียงที่ประดิษฐานพระพุทธรูปเท่านั้น แต่เป็นห้องโถงแห่งศรัทธาที่มีชีวิตชีวา ซึ่งหลอมรวมการเคารพบูชาพระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ และพระอริยสงฆ์ที่สำคัญของไทยไว้ในที่เดียวได้อย่างสมบูรณ์และงดงาม

พระพุทธชินราชจำรอง ประดิษฐานอยู่ภายในองค์พระเจดีย์

พระพุทธชินราชจำลอง ความหมายและนัยสำคัญแห่งศรัทธา

พระพุทธชินราชจำลอง หมายถึง พระพุทธรูปที่สร้างขึ้นโดยมีต้นแบบมาจาก “พระพุทธชินราช” องค์จริง ซึ่งประดิษฐาน ณ พระวิหารหลวง วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดพิษณุโลก พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์และงดงามที่สุดองค์หนึ่งของประเทศไทย

การสร้างพระพุทธชินราชจำลองเกิดขึ้นจากความศรัทธาอย่างล้นพ้นในองค์พระพุทธชินราช และความปรารถนาที่จะเผยแผ่พุทธบารมีให้ขจรขจายไปยังดินแดนต่างๆ เพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้มีโอกาสสักการะบูชาและเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจได้อย่างทั่วถึง

พระพุทธโสธรจำลอง ประดิษฐานอยู่ภายในองค์พระเจดีย์
พระพุทธโสธรจำลอง ความหมายแห่งการจำลองศรัทธา บารมีหลวงพ่อโสธร

พระพุทธโสธรจำลอง หมายถึง พระพุทธรูปที่สร้างขึ้นโดยถอดแบบหรือจำลองลักษณะมาจาก “หลวงพ่อพุทธโสธร” องค์จริง ซึ่งเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดฉะเชิงเทรา ประดิษฐานอยู่ในพระอุโบสถวัดโสธรวรารามวรวิหาร ริมแม่น้ำบางปะกง

การสร้างพระพุทธโสธรจำลองเกิดขึ้นจากพลังศรัทธาอันยิ่งใหญ่ของสาธุชนทั่วประเทศที่มีต่อหลวงพ่อโสธร ซึ่งเลื่องลือในความศักดิ์สิทธิ์และพุทธานุภาพในการประทานพรให้สมหวัง โดยเฉพาะในเรื่องการค้าขาย การรักษาโรคภัยไข้เจ็บ และการคุ้มครองให้แคล้วคลาดปลอดภัย

หลวงพ่อองค์ดำ: ประดิษฐานอยู่ภายในองค์พระเจดีย์
พระพุทธรูปปางประทานพร: ประดิษฐานอยู่ภายในองค์พระเจดีย์

ปางประทานพร หมายถึง พระพุทธรูปที่อยู่ในอิริยาบถ “การให้พร” หรือ “การประทานความปรารถนาให้สำเร็จ” เป็นสัญลักษณ์ของการประทานอภัย การแสดงความเมตตากรุณาอย่างสูงสุด และการอำนวยพรให้แก่สรรพสัตว์ให้พ้นจากความทุกข์และสมความปรารถนาในสิ่งอันเป็นกุศล

ผู้ที่สวดมนต์บูชาพระพุทธรูปปางนี้ มักจะขอพรในเรื่องต่างๆ ที่ตนปรารถนา โดยเชื่อว่าพุทธานุภาพแห่งองค์พระจะช่วยดลบันดาลให้พรนั้นสำเร็จได้

พระพุทธรูปปางมารวิชัยประดิษฐานอยู่ภายในองค์พระเจดีย์
พระพุทธปางมารวิชัย สัญลักษณ์แห่งชัยชนะอันยิ่งใหญ่เหนือกิเลสทั้งปวง

พระพุทธปางมารวิชัย หรือที่เรียกว่า ปางชนะมาร หรือ ปางสะดุ้งมาร เป็นพระพุทธรูปในอิริยาบถประทับนั่งขัดสมาธิ พระหัตถ์ซ้ายหงายวางบนพระเพลา (หน้าตัก) พระหัตถ์ขวาวางคว่ำลงที่พระชานุ (เข่า) ปลายนิ้วพระหัตถ์ชี้ลงสู่พื้นธรณี มีความหมายสำคัญสื่อถึงเหตุการณ์สำคัญในพุทธประวัติ คือการเอาชนะหมู่มารของพระโคตมพุทธเจ้าก่อนที่จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ความหมายและพุทธประวัติ

“มารวิชัย” มีความหมายตามตัวอักษรว่า “ชัยชนะต่อมาร” อันหมายถึงชัยชนะของพระพุทธองค์ที่มีต่อ ท้าววสวัตตีมาร ผู้เป็นใหญ่ในสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตดี ซึ่งได้ยกกองทัพมารมาผจญเพื่อขัดขวางการตรัสรู้ของพระองค์

ตามพุทธประวัติ ในคืนวันเพ็ญเดือน ๖ ก่อนที่เจ้าชายสิทธัตถะจะตรัสรู้ ขณะที่พระองค์ทรงบำเพ็ญสมาธิอย่างแน่วแน่ภายใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ พญามารได้ปรากฏตัวขึ้นพร้อมเหล่าเสนาจำนวนมาก เพื่อทำให้พระองค์ทรงหวาดกลัวและละทิ้งความเพียร พญามารได้อ้างว่าบัลลังก์ที่ประทับนั้นเป็นของตน และกล่าวว่าบุญบารมีที่พระองค์ได้บำเพ็ญมานั้นไม่เพียงพอที่จะบรรลุพระโพธิญาณได้

ในครั้งนั้น พระพุทธองค์มิได้ทรงหวั่นไหว และได้ทรงเปล่งวาจาอ้างถึงบารมี ๓๐ ทัศที่ทรงบำเพ็ญมาตลอดระยะเวลาอันยาวนานในสังสารวัฏ โดยทรงเรียก พระแม่ธรณี (วสุนธรา) ขึ้นมาเป็นพยาน ด้วยการใช้นิ้วพระหัตถ์ขวาชี้ลงไปที่พื้นปฐพี

ทันใดนั้น พระแม่ธรณีได้ปรากฏกายขึ้นและบีบมวยผมหลั่งอุทกธารา (น้ำ) ที่พระพุทธองค์ทรงเคยกรวดอุทิศส่วนกุศลไว้ในการบำเพ็ญทานบารมีในอดีตชาติ กระแสน้ำนั้นได้ไหลท่วมท้นกองทัพพญามารจนพ่ายแพ้แตกกระเจิงไปในที่สุด เหตุการณ์นี้จึงเป็นที่มาของชื่อ “มารวิชัย” คือชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของพระพุทธเจ้าที่ไม่ได้เกิดจากการใช้กำลัง แต่เกิดจากพระบารมีและทศพิธราชธรรมที่ทรงสั่งสมมา

จุดทำบุญตักบาตรพระประจำวันเกิด
การทำบุญตักบาตรพระประจำวันเกิด” ในบริบทนี้ หมายถึง การทำบุญโดยการบริจาคเงินหรือหยอดเหรียญลงในบาตรที่ตั้งอยู่หน้าพระพุทธรูปประจำวันเกิดองค์ที่ตรงกับวันเกิดของตนเอง
การทำบุญตักบาตรในลักษณะนี้ เรียกว่า การทำบุญ “ตักบาตร” ในเชิงสัญลักษณ์ แทนที่การตักบาตรด้วยข้าวปลาอาหารแด่พระภิกษะสงฆ์โดยตรง แต่เป็นการ “ตักบาตร” ด้วยปัจจัย (เงิน) เพื่อ:
๑. สร้างบุญเฉพาะตน เป็นการสร้างกุศลที่เชื่อมโยงโดยตรงกับดวงชะตาตามวันเกิดของตนเอง เชื่อว่าจะช่วยเสริมสิริมงคล สะเดาะเคราะห์ และหนุนนำบารมีให้แก่ตนเองเป็นพิเศษ
๒. ความสะดวกในการทำบุญ เป็นวิธีที่วัดอำนวยความสะดวกให้แก่สาธุชนที่มาวัด สามารถทำบุญได้ง่ายๆ ตลอดทั้งวัน
๓. บำรุงพระพุทธศาสนา เงินที่บริจาคในบาตรต่างๆ จะถูกรวบรวมเพื่อนำไปใช้ในกิจการของวัด เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ การบูรณะซ่อมแซมเสนาสนะ หรือเป็นค่าใช้จ่ายอื่นๆ เพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนาต่อไป
จุดบูชาวัตถุมงคล
ในสังคมไทย วัตถุมงคล และ เครื่องราง เป็นคำที่กล่าวถึงสิ่งของที่ผู้คนนับถือและพกพาติดตัวด้วยความเชื่อว่าจะนำมาซึ่งสิ่งดีงามและปกป้องคุ้มครองภัย แม้ทั้งสองคำจะมีความหมายใกล้เคียงกันและมักใช้ควบคู่กันไป แต่ก็มีความแตกต่างในรายละเอียด ที่มา และจุดประสงค์หลักอยู่

วัตถุมงคล (Sacred Objects)

วัตถุมงคล (อ่านว่า: วัด-ถุ-มง-คน) คือ สิ่งของอันเป็นมงคล ซึ่งโดยส่วนใหญ่มักมีความเชื่อมโยงกับพระพุทธศาสนาโดยตรง ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นเครื่องระลึกถึงคุณของพระรัตนตรัย (พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์) หรือเพื่อเป็นที่ระลึกถึงเกจิอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ

จุดประสงค์หลัก เพื่อความเป็นสิริมงคลรอบด้าน (Metta Mahaniyom – เมตตามหานิยม), ความเจริญก้าวหน้าในชีวิต, โชคลาภ, แคล้วคลาดปลอดภัย และเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจให้ทำความดี

ลักษณะเด่น
๑. มักเป็นรูปเคารพหรือสัญลักษณ์ทางศาสนา เช่น พระเครื่อง (รูปจำลองขนาดเล็กของพระพุทธเจ้า), เหรียญรูปเหมือนเกจิอาจารย์, พระกริ่ง, พระปิดตา
๒. สร้างจากวัสดุหลากหลาย เช่น ดิน, ว่าน, โลหะ, ผงพุทธคุณ (ผงที่ได้จากการเขียนและลบอักขระคาถาซ้ำๆ)
๓. ผ่านพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ที่เรียกว่า พุทธาภิเษก ซึ่งเป็นการอาราธนาบารมีของพระพุทธเจ้าและพระอริยสงฆ์มาประจุไว้ในวัตถุนั้น

รากฐานความเชื่อ: มีพื้นฐานมาจากศรัทธาในพุทธคุณ ธรรมคุณ และสังฆคุณเป็นหลัก

เครื่องราง (Amulets / Talismans)

เครื่องราง (อ่านว่า เครื่อง-ราง) หรือมักเรียกรวมกันว่า เครื่องรางของขลัง คือ สิ่งของที่เชื่อว่ามีอานุภาพในตัวเอง สามารถป้องกันอันตราย, ภูตผีปีศาจ, คุณไสย หรือเสริมเสน่ห์และความสำเร็จในเรื่องเฉพาะทางได้ เครื่องรางจำนวนมากมีรากฐานมาจากความเชื่อดั้งเดิม, ไสยศาสตร์, หรือศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ก่อนที่จะผสมผสานเข้ากับความเชื่อทางพุทธศาสนาในภายหลัง

จุดประสงค์หลัก เน้นพุทธคุณเฉพาะทางและเด่นชัด เช่น คงกระพันชาตรี (ทนทานต่อศาสตราวุธ), มหาเสน่ห์ (เป็นที่รักใคร่), ป้องกันภัยจากสิ่งอัปมงคล, เรียกทรัพย์

ลักษณะเด่น
– มักไม่ได้ทำเป็นรูปพระพุทธเจ้าหรือพระสงฆ์โดยตรง แต่เป็นรูปวัตถุ, สัตว์, หรือสัญลักษณ์อื่นๆ เช่น ตะกรุด (แผ่นโลหะลงอักขระแล้วม้วน), ผ้ายันต์, ปลัดขิก, เสือ, หนุมาน, เบี้ยแก้, รัก-ยม
– สร้างจากวัสดุอาถรรพ์ต่างๆ ตามตำรา เช่น โลหะ, ไม้มงคล, เขี้ยวสัตว์, ว่านพิเศษ
– ผ่านพิธีกรรมปลุกเสกโดยเกจิอาจารย์หรือผู้มีวิชาอาคม ซึ่งเป็นการประจุพลังอำนาจและคาถาอาคมลงในวัตถุนั้นโดยตรง

รากฐานความเชื่อ มีพื้นฐานมาจากความเชื่อในพลังธรรมชาติ, อำนาจเร้นลับ และไสยเวท แม้ผู้สร้างส่วนใหญ่จะเป็นพระเกจิอาจารย์ แต่ตัววิชามักสืบทอดมาจากศาสตร์โบราณ

ทำบุญโลงศพ เสียงเซียมซี

จิตกรรมฝาผนัง
ซุ้มเจ้าชายสิทธัตถะ
เจ้าชายสิทธัตถะ
พระมหาจักรจรรดิ บริเวณวัดชมโพธิ์

พื้นที่อันสงบร่มรื่นภายในวัดชมโพธยาราม เป็นที่ประดิษฐานของ พระพุทธรูปมหาจักรพรรดิ ซึ่งเป็นองค์แทนแห่งพระพุทธเจ้าที่เปี่ยมด้วยพระบารมีและสะท้อนคติธรรมอันลึกซึ้ง ภาพรวมของบริเวณนี้แสดงให้เห็นถึงความศรัทธาที่ตั้งอยู่ในความเรียบง่าย องค์พระปฏิมาประทับอยู่ภายใต้หลังคาที่คุ้มกันแดดฝน ด้านซ้ายมือมีตะเกียงเติมน้ำมันขนาดใหญ่สำหรับให้พุทธศาสนิกชนได้เติมน้ำมันบูชา ส่วนด้านหลังมีป้ายให้ความรู้และบทสวดมนต์ตั้งอยู่ ช่วยเสริมสร้างบรรยากาศแห่งการปฏิบัติธรรมให้แก่ผู้ที่มาเยือน

องค์พระมหาจักรพรรดิที่ปรากฏนั้นมีพุทธลักษณะที่งดงามและแตกต่างจากพระพุทธรูปโดยทั่วไปอย่างเด่นชัด ด้วยการครองอาภรณ์อย่างกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ หรือที่เรียกว่า “ปางทรงเครื่อง” องค์พระเป็นสีทองสุกปลั่ง ประทับนั่งในปางสมาธิอันสงบนิ่งบนฐานชุกชีที่แกะสลักอย่างวิจิตร สิ่งที่ทำให้องค์พระดูเปี่ยมด้วยพระราชอำนาจและพระบารมีคือเครื่องทรงอันประกอบด้วย มงกุฎยอดแหลม ที่งามสง่าบนพระเศียร กรองศอและสังวาล ประดับที่พระอุระ (อก) และ พาหุรัด ที่รัดไว้บนต้นพระพาหา (ต้นแขน) เครื่องประดับแต่ละชิ้นล้วนมีลวดลายที่ละเอียดลออ แสดงถึงฝีมือของช่างผู้สร้างและความเคารพศรัทธาอย่างสูงสุด

เบื้องหลังเครื่องทรงอันโอฬารนี้ มีที่มาจากพุทธประวัติตอนสำคัญที่แสดงถึงชัยชนะของพระธรรมเหนืออำนาจทางโลก คือตอน “โปรดท้าวมหาชมพู” เรื่องเล่าว่า ท้าวมหาชมพูเป็นกษัตริย์ผู้ทรงอิทธิฤทธิ์และมีความทะนงตนอย่างยิ่ง พระพุทธองค์จึงทรงมีพระประสงค์จะโปรดให้กษัตริย์พระองค์นี้ลดทิฐิมานะลง จึงทรงเนรมิตพระวรกายของพระองค์ให้ปรากฏเป็น พระมหาจักรพรรดิราช ผู้ยิ่งใหญ่กว่ากษัตริย์ใดในปฐพี และยังเนรมิตพระอารามให้กลายเป็นราชธานีที่งดงามเกินกว่าจินตนาการ

เมื่อท้าวมหาชมพูได้มาเห็นพระบารมีอันเปรียบประมาณมิได้ของพระพุทธองค์ในรูปของพระมหาจักรพรรดิ ความยึดมั่นถือมั่นในอำนาจของตนก็มลายสิ้นไป และได้ยอมสดับรับฟังพระธรรมเทศนาจนบรรลุเป็นพระอรหันต์ในที่สุด ดังนั้น พระพุทธรูปปางมหาจักรพรรดิจึงไม่ได้เป็นเพียงรูปเคารพที่งดงาม แต่ยังเป็นเครื่องเตือนใจอันทรงพลังว่า พระบารมีแห่งคุณธรรมและปัญญาของพระพุทธเจ้านั้น อยู่เหนือกว่าอำนาจและทรัพย์สมบัติทางโลกทั้งปวง

จุดทำบุญตักบาตรพระประจำวันเกิด ณ วัดชมโพธยาราม สามารถบรรยายลักษณะและอธิบายถึงคติความเชื่อที่เกี่ยวข้องในรูปแบบความเรียงได้ดังนี้

ภาพที่เห็นเบื้องหน้าคือมุมที่คุ้นตาและเปี่ยมด้วยศรัทธาในวัดไทย คือซุ้มศาลาที่ประดิษฐานหมู่พระพุทธรูปสีทองอร่ามเรียงรายกันเป็นแนวยาวภายใต้หลังคาที่เรียบง่าย เพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้ทำบุญตามกำลังศรัทธา สิ่งที่ทำให้จุดทำบุญนี้มีความพิเศษคือ การรวบรวม พระพุทธรูปปางต่างๆ ซึ่งเป็นพระประจำวันเกิดทั้ง ๗ วัน (๘ ปาง รวมถึง พระปางมารวิชัย สำหรับคนที่จำวันเกิดตัวเองไม่ได้ ) มาไว้ในที่เดียวกัน จะเห็นได้ว่ามีทั้งพระพุทธรูปในอิริยาบถนอน (ปางไสยาสน์), ยืนอุ้มบาตร, นั่งสมาธิ และที่โดดเด่นคือพระพุทธรูปปางนาคปรก ซึ่งแต่ละปางล้วนมีความงดงามและเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันไป ด้านหน้าของพระพุทธรูปแต่ละองค์จะมีป้ายบอกว่าเป็นพระประจำวันอะไร พร้อมทั้งมีบาตรหรือภาชนะสำหรับให้สาธุชนได้ทำบุญตักบาตรด้วยเหรียญหรือปัจจัยต่างๆ

การทำบุญพระประจำวันเกิด เป็นคติความเชื่อที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในสังคมไทย โดยมีรากฐานมาจากการนำพุทธประวัติในตอนสำคัญๆ มาสร้างเป็นพระพุทธรูปในปางต่างๆ แล้วกำหนดให้แต่ละปางเป็นตัวแทนของแต่ละวันในสัปดาห์ เช่น วันเสาร์คือปางนาคปรก ซึ่งมาจากตอนที่พญานาคมาแผ่พังพานปกป้องพระพุทธเจ้าจากพายุฝน หรือวันอังคารคือปางไสยาสน์ ซึ่งเป็นพุทธลักษณะในตอนเสด็จดับขันธปรินิพพาน เป็นต้น การกำหนดเช่นนี้ทำให้พุทธประวัติที่อาจดูไกลตัวกลายเป็นเรื่องใกล้ตัวและจับต้องได้ง่ายขึ้น

สาเหตุที่คนไทยนิยมทำบุญตักบาตรพระประจำวันเกิดอย่างแพร่หลายในวัดและงานบุญต่างๆ นั้นมีหลายปัจจัยประกอบกัน ประการแรกคือ การสร้างความผูกพันส่วนตัว กับพระพุทธศาสนา แทนที่จะกราบไหว้พระพุทธรูปโดยรวม การได้ไหว้พระประจำวันเกิดของตนเองทำให้รู้สึกถึงความเชื่อมโยงที่เป็นส่วนตัวและพิเศษยิ่งขึ้น ประการที่สองคือ ความง่ายและความสะดวก ทุกคนทราบวันเกิดของตนเอง และวัดส่วนใหญ่ก็มักจะจัดสถานที่ไว้ให้ชัดเจน ทำให้การทำบุญเป็นเรื่องง่ายที่ใครๆ ก็สามารถมีส่วนร่วมได้ ประการสุดท้ายคือ การผสมผสานกับคติความเชื่อเรื่องดวงชะตา ซึ่งฝังรากลึกในวัฒนธรรมไทย คนไทยเชื่อว่าการทำบุญกับพระประจำวันเกิดของตนเอง จะช่วยเสริมสิริมงคล หนุนดวงชะตา ลดเคราะห์กรรม และนำมาซึ่งความสุขความเจริญในชีวิต

ด้วยเหตุนี้ การทำบุญพระประจำวันเกิดจึงไม่ได้เป็นเพียงแค่การบริจาค แต่เป็นกิจกรรมทางความเชื่อที่หลอมรวมเอาพุทธประวัติ ความศรัทธาส่วนบุคคล และวัฒนธรรมท้องถิ่นเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว ทำให้เป็นหนึ่งในรูปแบบการทำบุญที่ได้รับความนิยมและสืบทอดต่อกันมาอย่างยาวนานในสังคมไทย

พระพุทธโสธรจำลอง ทางเข้าวัดชมโพธิ์

จากภาพที่ปรากฏ เป็นองค์พระพุทธรูปหลวงพ่อโสธรจำลอง ซึ่งประดิษฐานอย่างสง่างาม ณ ศาลาภายในวัดชมโพธยาราม องค์พระพุทธรูปมีพุทธลักษณะที่งดงาม เปล่งประกายด้วยสีทองอร่ามทั่วทั้งองค์ แสดงถึงความศรัทธาและการเคารพบูชาเป็นอย่างสูง

หลวงพ่อโสธรจำลององค์นี้อยู่ในพระอิริยาบถประทับนั่งขัดสมาธิราบบนฐานบัว แสดงปางสมาธิอันสงบนิ่ง พระหัตถ์ทั้งสองข้างซ้อนกันบนพระเพลาอย่างสำรวม พระพักตร์อิ่มเอิบแย้มพระโอษฐ์เล็กน้อย บ่งบอกถึงพระเมตตาอันเปี่ยมล้น พระเกศาขมวดเป็นก้นหอยเด่นชัด และพระเศียรประดับด้วยเปลวรัศมีอันเป็นเอกลักษณ์ของพระพุทธรูปในศิลปะไทย สะท้อนให้เห็นถึงพระปรีชาญาณอันสูงส่ง

องค์หลวงพ่อโสธรจำลองประดิษฐานอยู่บนฐานชุกชีที่ได้รับการออกแบบอย่างเรียบง่ายแต่แฝงไว้ด้วยความหมาย ฐานชั้นบนสุดเป็นพื้นเรียบสีเทาเข้ม รองรับองค์พระพุทธรูปไว้อย่างมั่นคง ถัดลงมาเป็นฐานที่ทาสีแดงสดและสีทองสลับกันเป็นชั้นๆ โดยส่วนโค้งเว้าของฐานทาสีทองขับให้องค์พระดูโดดเด่นยิ่งขึ้น ส่วนฐานชั้นล่างสุดเป็นสีเหลืองทอง ตัดกับพื้นสีขาวและสีเทาของศาลา ทั้งหมดนี้รวมกันเป็นภาพที่ก่อให้เกิดความสงบและความเลื่อมใสแก่ผู้ที่ได้มาสักการะบูชา

พระพุทธรูปปางนาคปรกและพระสิวลี ตรงศาลาทางเข้าวัดชมโพธิ์

บริเวณใกล้กับศาลาที่ประดิษฐานหลวงพ่อโสธรจำลองภายในวัดชมโพธยาราม เป็นที่ตั้งของสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกสององค์ที่พุทธศาสนิกชนให้ความเคารพนับถือ คือ พระพุทธรูปปางนาคปรก และ พระสิวลี ซึ่งแต่ละองค์มีพุทธลักษณะและประวัติความเป็นมาที่สำคัญยิ่ง

องค์ประกอบและลักษณะทางกายภาพ

องค์พระทั้งสองประดิษฐานอยู่บนลานที่ปูด้วยกระเบื้องสีน้ำตาลแดง ล้อมรอบด้วยกำแพงเตี้ยสีชมพูอ่อน ด้านบนของกำแพงประดับด้วยลูกกรงทรงระฆังสีขาวทอดตัวเป็นแนวยาว บริเวณที่ตั้งของพระพุทธรูปปางนาคปรกนั้นโดดเด่นเป็นพิเศษด้วยแผงกระเบื้องลวดลายดอกไม้สีน้ำตาลและสีขาวที่กรุเป็นฉากหลัง ช่วยขับให้องค์พระดูสง่างามยิ่งขึ้น พื้นที่ภายในกำแพงบางส่วนปูด้วยหินกรวดสีน้ำตาลเข้ม ตัดกับสีสันของกำแพงและองค์พระอย่างลงตัว

พระพุทธรูปปางนาคปรก มีพุทธลักษณะที่งดงาม องค์พระเป็นสีทองแดงอมส้ม ประทับนั่งขัดสมาธิราบบนขนดนาค 3 ชั้น แสดงปางสมาธิอย่างสงบนิ่ง เหนือพระเศียรมีพญานาคราชนามว่า “มุจลินท์” แผ่พังพาน 7 เศียร เพื่อปกป้องคุ้มครององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ลักษณะของพญานาคเป็นสีทองอร่าม แสดงถึงความยิ่งใหญ่และบารมี

ถัดมาทางด้านขวา เป็นรูปปั้น พระสิวลี ซึ่งมีลักษณะเป็นพระภิกษุสูงวัย อยู่ในอิริยาบถยืน มือขวาถือไม้เท้า มือซ้ายแบกกลดและย่าม ส่วนบ่าด้านซ้ายสะพายบาตร องค์พระสิวลีมีสีน้ำตาลเข้ม แสดงถึงความเรียบง่ายและสมถะ แต่แฝงไว้ด้วยความเมตตา

ประวัติและความเป็นมา

พระพุทธรูปปางนาคปรก (The Buddha Sheltered by the Naga King)

พระพุทธรูปปางนี้มีที่มาจากพุทธประวัติในสัปดาห์ที่ 6 หลังการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ขณะที่พระองค์เสวยวิมุตติสุข (ความสุขจากการหลุดพ้น) ใต้ต้นมุจลินท์ (ต้นจิก) ได้บังเกิดพายุฝนฟ้าคะนองรุนแรงเป็นเวลา 7 วัน 7 คืน ในครั้งนั้น พญามุจลินทนาคราช ซึ่งอาศัยอยู่ในสระน้ำใกล้เคียง ได้ขึ้นมาแสดงอิทธิฤทธิ์ขดกายเป็นบัลลังก์ 7 ชั้น และแผ่พังพานขนาดใหญ่ปกคลุมพระวรกายของพระพุทธเจ้าไว้ เพื่อป้องกันมิให้ลมฝนและสัตว์ร้ายต่างๆ มาเบียดเบียนพระองค์ได้

พระปางนาคปรกจึงเป็นสัญลักษณ์ของ การปกป้องคุ้มครองจากภยันตรายทั้งปวง และยังถือเป็นพระพุทธรูปประจำวันเกิดของผู้ที่เกิดวันเสาร์อีกด้วย

พระสิวลี (Phra Sivalee)

พระสิวลี เป็นพระอรหันต์สาวกองค์หนึ่งของพระพุทธเจ้าในสมัยพุทธกาล ท่านได้รับการยกย่องจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าเป็น เอตทัคคะในทางผู้มีลาภมาก (ผู้เลิศในทางมีลาภ)

ประวัติเล่าว่า ไม่ว่าพระสิวลีจะเดินทางไปที่ใด ก็มักจะมีเทวดาและมนุษย์นำข้าวของและภัตตาหารมาถวายอยู่เสมอ แม้ในที่ทุรกันดาร ทำให้หมู่สงฆ์ที่เดินทางไปกับท่านไม่เคยอดอยาก ด้วยเหตุนี้ พุทธศาสนิกชนจึงมีความเชื่อว่าการได้บูชาพระสิวลีจะนำมาซึ่ง โชคลาภ ความมั่งคั่ง และความอุดมสมบูรณ์ ทำให้ไม่ขาดแคลนในปัจจัยสี่ เป็นที่มาของการสร้างรูปเคารพของท่านในลักษณะของพระภิกษุที่พร้อมด้วยเครื่องอัฐบริขารสำหรับการธุดงค์อยู่เสมอ

ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าคือพระพุทธรูปปางไสยาสน์ หรือที่รู้จักกันในชื่อ ปางปรินิพพาน ซึ่งเป็นหนึ่งในพุทธศิลป์ที่สงบงามและเปี่ยมด้วยความหมายอันลึกซึ้งที่สุด องค์พระพุทธรูปมีขนาดใหญ่ ทาทับด้วยสีทองอร่ามไปทั่วทั้งพระวรกาย ทำให้เกิดประกายเรืองรองเมื่อต้องแสงไฟ ขับเน้นถึงพุทธบารมีและความเป็นทิพย์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

พุทธลักษณะขององค์พระปฏิมานั้นงดงามตามแบบแผนอย่างยิ่ง พระองค์บรรทมในลักษณะตะแคงเบื้องขวา พระบาททั้งสองข้างซ้อนกันอย่างเสมอกัน พระหัตถ์ซ้ายทอดทาบไปตามพระวรกาย ส่วนพระหัตถ์ขวาตั้งขึ้นรองรับพระเศียรไว้ สิ่งที่สะกดสายตาของผู้ที่ได้กราบไหว้มากที่สุดคือ พระพักตร์ ของพระองค์ ซึ่งไม่ได้แสดงถึงความเจ็บปวด หากแต่เปี่ยมด้วยความสงบนิ่ง พระโอษฐ์แย้มเพียงเล็กน้อย คล้ายรอยยิ้มอันเปี่ยมด้วยพระเมตตา พระเนตรที่ปิดสนิทนั้นสื่อถึงสมาธิอันแน่วแน่ในวาระสุดท้าย พระเกศาขมวดเป็นก้นหอยและมีพระรัศมีเปล่งประกายอยู่เหนือพระเศียร อันเป็นลักษณะของมหาบุรุษ

ปางปรินิพพานนี้มิได้สื่อถึงความโศกเศร้าแห่งความตาย แต่เป็นการจำลองเหตุการณ์สำคัญในพุทธประวัติ คือขณะที่พระพุทธองค์เสด็จดับขันธปรินิพพาน ณ สาลวโนทยาน เมืองกุสินารา หลังจากทรงบำเพ็ญพุทธกิจมาตลอด 45 พรรษา ท่าทางอันสงบนิ่งของพระองค์คือสัญลักษณ์แห่งชัยชนะอันสมบูรณ์ คือการหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวงและวัฏสงสาร (วงจรแห่งการเวียนว่ายตายเกิด) โดยสิ้นเชิง เป็นการเข้าถึงสภาวะแห่งความสุขอันเป็นนิรันดร์

ดังนั้น การได้มาสักการะพระพุทธรูปปางปรินิพพาน ณ วัดชมโพธยาราม จึงเปรียบเสมือนการได้มาระลึกถึงปัจฉิมโอวาทหรือคำสอนสุดท้ายของพระพุทธเจ้าที่ว่า “สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด” องค์พระปฏิมาจึงเป็นเครื่องเตือนใจให้พุทธศาสนิกชนดำเนินชีวิตด้วยความไม่ประมาท และมุ่งมั่นปฏิบัติธรรมเพื่อความหลุดพ้นตามรอยพระบาทของพระองค์สืบไป

ทางเข้าไปกราบสักการะพระนอนองค์ใหญ่ ปางไสยาสน์ ภายในวิหาร

วัดชมโพธยาราม มีสถาปัตยกรรมชิ้นหนึ่งที่โดดเด่นและแตกต่างจากศาสนสถานโดยทั่วไปที่เราคุ้นเคย นั่นคือวิหารที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางไสยาสน์ ซึ่งได้รับการออกแบบอย่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ตัวอาคารหลักมีลักษณะเป็น โดมขนาดใหญ่ทอดตัวยาวในแนวราบ มีรูปทรงโค้งมนต่อเนื่องกันตลอดทั้งหลัง คล้ายกับเนินดินหรือสถูปในยุคแรกเริ่ม มากกว่าจะเป็นวิหารทรงสี่เหลี่ยมหลังคาสูงตามแบบไทยประเพณี การเลือกใช้รูปทรงเช่นนี้อาจเป็นการสื่อความหมายเชิงสัญลักษณ์ถึงสาลวโนทยาน ณ เมืองกุสินารา อันเป็นสถานที่เสด็จดับขันธปรินิพพานที่แวดล้อมด้วยธรรมชาติ

แม้รูปทรงโดยรวมจะดูเรียบง่ายด้วยผนังโค้งสีขาวสะอาดตา แต่ในส่วนของ ทางเข้าได้รับการออกแบบอย่างประณีตงดงาม เพื่อเป็นจุดต้อนรับพุทธศาสนิกชน ซุ้มประตูทรงโค้งที่มีลวดลายอ่อนช้อยเป็นเอกลักษณ์ ตกแต่งขอบด้วยสีทองอย่างโดดเด่นบนพื้นสีขาว รองรับด้วยเสากลมสองต้น ทำให้ทางเข้าดูสง่างามและน่าเลื่อมใส ส่วนบนของซุ้มประตูยังประดับด้วยลวดลายฉลุที่ช่วยเพิ่มความโปร่งและรายละเอียดทางศิลปะให้กับตัวอาคาร

นอกจากนี้ ยังมีรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่ช่วยเสริมให้วิหารหลังนี้ดูมีชีวิตชีวา เช่น ช่องหน้าต่างวงกลมที่ประดับอยู่เป็นระยะ และไม้เลื้อยที่เจริญเติบโตอยู่ด้านข้างของอาคาร ช่วยสร้างความรู้สึกที่กลมกลืนกับธรรมชาติ วิหารหลังนี้จึงไม่ได้เป็นเพียงอาคารที่ใช้ประดิษฐานพระพุทธรูปเท่านั้น แต่ยังเป็นงานสถาปัตยกรรมทางศาสนาร่วมสมัยที่สื่อความหมายเชิงสัญลักษณ์อย่างลึกซึ้ง สร้างประสบการณ์ที่สงบและแตกต่างให้กับผู้ที่ได้มาเยือนและสักการะพระพุทธรูปปางปรินิพพานที่อยู่ภายใน

องค์พระสถูปเจดีย์

ในหมู่สังเวชนียสถานจำลอง ณ วัดชมโพธยาราม นอกเหนือจากพระมหาเจดีย์พุทธคยาสีทองอร่ามแล้ว ยังมีสถูปอีกองค์หนึ่งที่สร้างความรู้สึกที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง นั่นคือ ธัมเมกขสถูปจำลอง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แทนสถานที่ที่พระพุทธองค์ทรงแสดงปฐมเทศนาโปรดปัญจวัคคีย์ทั้งห้า

เมื่อมองจากระยะไกล สถูปองค์นี้จะปรากฏเป็นสถาปัตยกรรมทรงโอคว่ำหรือทรงกระบอกขนาดใหญ่ที่ดูมั่นคงและหนักแน่น ผนังภายนอกก่อด้วยอิฐหรือกระเบื้องสีแดงดินเผาที่เรียงตัวกันอย่างมีระเบียบ ให้ความรู้สึกที่เก่าแก่และขรึมขลัง ชวนให้นึกถึงโบราณสถานอันศักดิ์สิทธิ์ ตัวสถูปตั้งอยู่อย่างสงบงามท่ามกลางแมกไม้อันร่มรื่น สร้างบรรยากาศที่สงบเย็นและเป็นส่วนตัว เหมาะแก่การเจริญจิตภาวนาและระลึกถึงพระธรรมคำสอน

ครั้นเมื่อเข้ามาใกล้ จะเห็นช่องประตูทรงสี่เหลี่ยมที่เรียบง่าย แต่กรอบประตูสีเหลืองสดใสได้เชื้อเชิญให้ก้าวเข้าไปสู่ภายใน และเมื่อมองผ่านช่องประตูนั้นเข้าไป ก็จะพบว่าภายในมิได้เป็นสถูปตัน หากแต่เป็นโถงขนาดเล็กที่สว่างไสว ประดิษฐานหมู่พระพุทธรูปสีทองอร่ามหลายองค์อย่างงดงาม นับเป็นภาพที่สร้างความประทับใจอย่างยิ่ง เพราะเป็นการตัดกันระหว่างความเรียบง่ายและดูเก่าแก่ของภายนอก กับความสุกปลั่งและศักดิ์สิทธิ์ขององค์พระที่อยู่ภายใน

ดังนั้น ธัมเมกขสถูปจำลองแห่งนี้จึงเป็นมากกว่าสถาปัตยกรรม แต่เป็นพื้นที่แห่งความสงบที่เชื้อเชิญให้พุทธศาสนิกชนได้มาระลึกถึงการเริ่มต้นแห่งพระธรรมคำสอน หรือ “การหมุนวงล้อแห่งธรรม” ครั้งแรกของพระพุทธเจ้าได้อย่างลึกซึ้งและเปี่ยมด้วยศรัทธา

จากภาพภายในธัมเมกขสถูปจำลอง ณ วัดชมโพธยาราม สามารถบรรยายถึงบรรยากาศและองค์ประกอบอันเปี่ยมด้วยศรัทธาในรูปแบบความเรียงได้ดังนี้

เมื่อย่างเข้าสู่ภายในธัมเมกขสถูปจำลองแห่งวัดชมโพธยาราม บรรยากาศจะเปลี่ยนจากความสงบขรึมขลังของอิฐสีแดงภายนอกสู่โลกแห่งศรัทธาที่สว่างไสวและเปี่ยมด้วยสีสันในทันที พื้นที่ภายในมีลักษณะเป็นโถงกลม ผนังสีเหลืองนวลขับให้หมู่พระพุทธรูปสีทองดูโดดเด่นและเปล่งประกายยิ่งขึ้น สร้างความรู้สึกอบอุ่นและเป็นมิตรต่อผู้มาเยือน

ณ ศูนย์กลางของโถง จัดตั้ง โต๊ะหมู่บูชาประดับมุก อย่างวิจิตรตระการตา ซึ่งเป็นแท่นประดิษฐานองค์พระประธานและพระพุทธรูปองค์สำคัญ บนแท่นบูชาสูงสุดเป็นที่ประดิษฐานองค์ พระแก้วมรกตจำลอง อันศักดิ์สิทธิ์ ขนาบข้างด้วยรูปจำลองของพระอัครสาวกคือ พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ ในท่ายืนประนมมืออย่างนอบน้อม ถัดลงมาเป็นพระพุทธรูปปางต่างๆ ที่จัดวางลดหลั่นกันอย่างงดงามลงตัว

รอบโถงประดิษฐาน พระพุทธรูปปางต่างๆ อีกหลายองค์ โดยมีพระพุทธรูปองค์ใหญ่ในปางมารวิชัยตั้งอยู่ทั้งทางซ้ายและขวา องค์ทางซ้ายนั้นปรากฏร่องรอยการปิดทองคำเปลวจากสาธุชนจนทั่วทั้งองค์ สะท้อนถึงความศรัทธาที่พุทธศาสนิกชนมีต่อวัดแห่งนี้อย่างต่อเนื่อง ส่วนองค์ทางขวายังคงความเกลี้ยงเกลาของสีทองไว้ ทำให้เห็นถึงความงามที่แตกต่างกัน

เมื่อทอดสายตาขึ้นไปยังผนังโค้งโดยรอบ จะพบกับ ภาพจิตรกรรมฝาผนัง ที่บอกเล่าเรื่องราวพุทธประวัติในตอนสำคัญต่างๆ ด้วยลายเส้นและสีสันที่งดงามตามแบบฉบับช่างศิลป์ไทย ภาพวาดเหล่านี้ไม่เพียงแต่สร้างความสวยงามให้กับสถานที่ แต่ยังทำหน้าที่เป็นดั่งธรรมะที่ถ่ายทอดผ่านงานศิลป์ ช่วยให้ผู้มาเยือนได้เรียนรู้และระลึกถึงคำสอนของพระพุทธองค์

ดังนั้น พื้นที่ภายในธัมเมกขสถูปแห่งนี้จึงเป็นการจำลองจักรวาลแห่งพระพุทธศาสนาขนาดย่อม ที่ซึ่งพุทธศาสนิกชนสามารถเข้ามาสักการะองค์พระประธาน พระอัครสาวก และพระพุทธรูปองค์สำคัญ ท่ามกลางบรรยากาศที่โอบล้อมด้วยเรื่องราวพุทธประวัติอันทรงคุณค่า นับเป็นพื้นที่ที่สร้างเสริมสติปัญญาและเติมเต็มพลังแห่งศรัทธาได้อย่างแท้จริง

พระพุทธรูปประดิษฐานอยู่นอกองค์พระสถูปเจดีย์

ที่วัดชมโพธยาราม จังหวัดฉะเชิงเทรา พระสถูปเจดีย์ ที่โดดเด่นและเป็นที่รู้จักมากที่สุดคือ สังเวชนียสถานจำลอง ๔ แห่ง ซึ่งรวมถึง “เจดีย์” และ “สถูป” ที่จำลองมาจากสถานที่สำคัญในพุทธประวัติที่ประเทศอินเดียและเนปาล

วัดชมโพธยารามมีชื่อเสียงจากการเป็นวัดเดียวในจังหวัดฉะเชิงเทราที่มีการจำลองสังเวชนียสถานครบทั้ง ๔ ตำบล เพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้มาสักการะและระลึกถึงเหตุการณ์สำคัญในพระพุทธศาสนาได้โดยไม่ต้องเดินทางไปถึงประเทศอินเดียและเนปาล

พระสถูปเจดีย์ในวัดชมโพธยารามที่สำคัญได้แก่

  • พุทธคยาเจดีย์จำลอง (สถานที่ตรัสรู้) เป็นเจดีย์สีเหลืองทองขนาดใหญ่ที่โดดเด่น สามารถมองเห็นได้แต่ไกล ภายในองค์เจดีย์ประดิษฐานพระพุทธรูปหลายองค์ และมีภาพวาดฝาผนังเกี่ยวกับสถานที่สำคัญต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้า เป็นการจำลองพุทธคยาเจดีย์ที่เมืองปัตนะ รัฐพิหาร ประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นสถานที่ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้
  • เจดีย์ปฐมเทศนา หรือ ธัมเมกขสถูปจำลอง (สถานที่แสดงปฐมเทศนา) มีลักษณะเป็นรูปบาตรคว่ำ สีแดงอิฐ (บางข้อมูลระบุว่าสีแดงอิฐ) และมีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่โดยรอบ เป็นการจำลองธัมเมกขสถูปที่สารนาถ ประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นสถานที่ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนาโปรดปัญจวัคคีย์

นอกจากนี้ ยังมีส่วนของสังเวชนียสถานจำลองอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการประสูติและปรินิพพาน ได้แก่

  • อุทยานลุมพินีจำลอง (สถานที่ประสูติ) มีวิหารมายาเทวี ภายในเป็นที่ตั้งของรูปปั้นหินแกะสลักของพระนางสิริมหามายา
  • สถานที่ปรินิพพานจำลอง (กุสินารา) เป็นโดมขนาดใหญ่มีพระพุทธรูปปางไสยาสน์ประดิษฐานอยู่ภายใน

ดังนั้น เมื่อพูดถึง พระสถูปเจดีย์ในวัดชมโพธยาราม ฉะเชิงเทรา จึงหมายถึงสิ่งก่อสร้างที่จำลองมาจากสถานที่สำคัญทางพุทธประวัติ ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึก เคารพบูชา และเป็นศูนย์รวมจิตใจของพุทธศาสนิกชนในการศึกษาและรำลึกถึงพระพุทธเจ้าและพระธรรมคำสอนของพระองค์ครับ

พระครูปลัดสุโพธิ์ จนฺทาโภ อดีตเจ้าอาวาสวัดชมโพธยาราม

ขอบคุณที่แชร์

Leave a Comment