ประวัติวัดปากน้ำโจ้โล้
วัดปากน้ำโจ้โล้ มรดกแห่งชัยชนะและศรัทธาสู่พระอุโบสถสีทองหนึ่งเดียวในไทย
วัดปากน้ำโจ้โล้ ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำบางปะกง ตำบลปากน้ำ อำเภอบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นวัดเก่าแก่ที่มีประวัติศาสตร์ผูกพันกับเหตุการณ์สำคัญของชาติไทย โดยเฉพาะวีรกรรมของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช และโดดเด่นเป็นที่รู้จักไปทั่วประเทศจาก “พระอุโบสถสีทอง” อันงดงามอร่ามตาเพียงหนึ่งเดียวในประเทศไทย
ยุคแรกเริ่มและตำนานแห่งสมรภูมิ
วัดปากน้ำโจ้โล้ เดิมเป็นสำนักสงฆ์เก่าแก่ที่สร้างขึ้นในสมัยอยุธยาตอนปลาย ไม่ปรากฏหลักฐานปีที่สร้างแน่ชัด แต่คาดว่ามีอายุกว่า ๒๐๐ ปี ความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของวัดเริ่มต้นขึ้นในช่วงก่อนการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒
ในปี พ.ศ. ๒๓๐๙ บริเวณปากน้ำโจ้โล้แห่งนี้เคยเป็นที่ตั้งของกองทัพพม่าที่ยกมาทั้งทัพบกและทัพเรือ ขณะนั้น สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช (เมื่อครั้งยังเป็นพระยาวชิรปราการ) ได้รวบรวมไพร่พลตีฝ่าวงล้อมของพม่าออกจากกรุงศรีอยุธยา เพื่อมุ่งหน้าไปยังหัวเมืองตะวันออก เมื่อเดินทัพมาถึงบริเวณนี้ ได้เกิดการปะทะกับกองทัพพม่า ด้วยพระปรีชาสามารถในการวางแผนการรบ ทำให้กองทัพของพระองค์ได้รับชัยชนะเหนือพม่าซึ่งมีกำลังพลมากกว่า
เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งชัยชนะในสมรภูมิครั้งสำคัญนี้ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชจึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระเจดีย์องค์หนึ่งขึ้น ณ บริเวณนั้น แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า ต่อมาพระเจดีย์องค์ดังกล่าวได้พังทลายลงแม่น้ำบางปะกงเนื่องจากถูกกระแสน้ำกัดเซาะตลิ่ง อย่างไรก็ตาม เรื่องราววีรกรรมนี้ยังคงอยู่คู่กับวัดและเป็นที่มาของชื่อ “วัดปากน้ำโจ้โล้
ที่มาของชื่อ “โจ้โล้”
มีข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับที่มาของชื่อ “โจ้โล้” อยู่ ๒ กระแสหลัก ได้แก่
- กลยุทธ์การรบ กล่าวกันว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงวางกลศึก “โจมตีด้วยการลวง” โดยทรงโล้เรือออกไปเพียงลำพัง เพื่อให้ทหารพม่าตายใจว่าพระองค์มาคนเดียว จากนั้นจึงให้ทหารที่ซุ่มอยู่เข้าโจมตีจนได้รับชัยชนะ การกระทำของ “เจ้า” ที่ “โล้” เรือมานี้ จึงอาจเพี้ยนมาเป็น “โจ้โล้” ในเวลาต่อมา
- ภาษาจีน อีกข้อสันนิษฐานหนึ่งกล่าวว่า ในอดีตบริเวณนี้มีความอุดมสมบูรณ์และมี “ปลากะพงขาว” ชุกชุม ซึ่งในภาษาจีนแต้จิ๋วจะเรียกปลาชนิดนี้ว่า “จ้อโล้” (Jóe-lô) จึงอาจเป็นไปได้ว่าชื่อนี้เพี้ยนเสียงมาเป็น “โจ้โล้” ในภายหลัง
การสร้างพระอุโบสถสีทอง
เอกลักษณ์ที่ทำให้วัดปากน้ำโจ้โล้มีชื่อเสียงโด่งดังในปัจจุบันคือ พระอุโบสถสีทองทั้งหลัง พระอุโบสถหลังนี้สร้างขึ้นแทนหลังเดิมซึ่งตั้งอยู่ริมน้ำและถูกน้ำกัดเซาะตลิ่งจนเสี่ยงต่อความเสียหาย ทางวัดจึงได้รื้อถอนและสร้างพระอุโบสถหลังใหม่ขึ้นในตำแหน่งปัจจุบัน โดยทาสีทองทั้งหมดทั้งภายนอกและภายใน ถือเป็นพระอุโบสถสีทองหนึ่งเดียวในประเทศไทย
- สถาปัตยกรรมภายนอก งดงามด้วยลวดลายไทยประยุกต์ หลังคาประดับช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ พญานาค และธรรมจักร กำแพงแก้วตกแต่งด้วยลวดลายธรรมจักรสลับกับโคมไฟรูปช้างสามเศียร
- การตกแต่งภายใน ผนังทั้งสี่ด้านประดับด้วยลวดลายปูนปั้นจำหลักปิดทองอย่างวิจิตรบรรจง แทนการวาดภาพจิตรกรรมฝาผนังแบบดั้งเดิม ทำให้ภายในสว่างไสวและงดงามเป็นหนึ่งเดียวกันกับภายนอก
- สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ภายในประดิษฐาน หลวงพ่อโต (จำลองจากพระพุทธชินราช) เป็นพระประธาน และมีพระบรมรูปสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชให้ประชาชนได้สักการะรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ นอกจากนี้ ยังมีความเชื่อในเรื่องการ ลอดใต้ฐานพระประธาน เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต
ปัจจุบัน วัดปากน้ำโจ้โล้ไม่เพียงแต่เป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวบางคล้าและพุทธศาสนิกชนทั่วไป แต่ยังเป็นอนุสรณ์สถานที่บอกเล่าเรื่องราวแห่งชัยชนะ ความเสียสละ และพระปรีชาสามารถของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ควบคู่ไปกับความงดงามทางพุทธศิลป์ที่โดดเด่นเป็นสง่าริมแม่น้ำบางปะกง
ความงามอันเป็นเอกลักษณ์ของวัดแห่งนี้ สถิตเด่นเป็นสง่าอยู่ที่พระอุโบสถสีทองทั้งหลังที่ส่องประกายเรืองรอง สถาปัตยกรรมบนหลังคาน่าชมด้วยการประดับพญานาค และมีธรรมจักรตั้งอยู่เหนือบุษบกยอดฉัตรบริเวณสันกลาง ขณะที่กำแพงแก้วโดยรอบก็ตกแต่งอย่างลงตัวด้วยลายธรรมจักรสลับกับโคมไฟรูปช้างเอราวัณ
เมื่อก้าวเข้าสู่ภายใน จะได้สักการะ “หลวงพ่อโต” พระประธานองค์งามซึ่งจำลองแบบมาจากพระพุทธชินราช และที่เบื้องหน้าคือพระบรมรูปสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ซึ่งเปิดให้สักการะด้วยเครื่องทองน้อย อันเป็นธรรมเนียมปฏิบัติแทนการจุดธูปเทียน
จุดเด่นสำคัญอีกประการคือบุษบกบนยอดสูงสุดของอุโบสถซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ส่วนผนังภายในนั้นแตกต่างจากวัดทั่วไป โดยแทนที่จะเป็นภาพจิตรกรรมฝาผนัง กลับใช้ลวดลายปูนปั้นจำหลักปิดทองคำอร่ามตาทั่วทั้งสี่ด้าน สร้างบรรยากาศอันศักดิ์สิทธิ์และงดงามเป็นหนึ่งเดียวกัน

ภาพมุมสูง ภาพรวมทั้งหมดของวัดปากน้ำโจ้โล้
ภาพมุมสูงนี้เผยให้เห็นทัศนียภาพอันงดงามตระการตาของวัดปากน้ำโจ้โล้ จังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งโดดเด่นเป็นสง่าด้วยสถาปัตยกรรมสีทองอร่ามที่ตัดกับความเขียวขจีของธรรมชาติโดยรอบอย่างลงตัว จุดศูนย์กลางของสายตาทางฝั่งซ้ายคือพระอุโบสถสีทองทั้งหลังอันวิจิตร ล้อมรอบด้วยกำแพงแก้วสีเดียวกัน สะท้อนถึงความศรัทธาและความยิ่งใหญ่ของพุทธสถานแห่งนี้
ขณะที่ทางฝั่งขวาของลานวัดอันกว้างขวาง ประดิษฐานพระพุทธรูปปางอุ้มบาตรองค์ใหญ่สีทองอร่าม ซึ่งยืนเด่นเป็นสง่าเพื่อเป็นที่เคารพสักการะ ระหว่างสิ่งปลูกสร้างหลักทั้งสองรายล้อมไปด้วยหมู่กุฏิและศาลาต่างๆ ที่มีหลังคาสีทองสอดคล้องกัน สร้างความเป็นเอกภาพให้กับทัศนียภาพโดยรวม ทั้งหมดนี้ตั้งอยู่บนพื้นที่ติดกับโค้งน้ำของแม่น้ำบางปะกงที่ไหลผ่านอย่างสงบ โอบล้อมด้วยแมกไม้อันอุดมสมบูรณ์ ภาพนี้จึงเป็นการถ่ายทอดความงามของวัดปากน้ำโจ้โล้ได้อย่างสมบูรณ์ โดยหลอมรวมสถาปัตยกรรมทางศาสนาอันเรืองรองเข้ากับความสงบร่มรื่นของธรรมชาติได้อย่างน่าประทับใจ

พระประทานองค์ใหญ่ปางอุ้มบาตร หันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก
ภาพนี้ถ่ายทอดความงดงามและยิ่งใหญ่ของพระพุทธรูปปางอุ้มบาตรองค์ใหญ่แห่งวัดปากน้ำโจ้โล้ได้อย่างน่าประทับใจ องค์พระพุทธรูปสีทองอร่ามยืนเด่นเป็นสง่าอยู่กลางแจ้ง มีพุทธลักษณะที่สงบนิ่ง พระพักตร์เปี่ยมด้วยเมตตา พระหัตถ์ทั้งสองประคองบาตรไว้ด้านหน้าอย่างสมบูรณ์ตามพุทธลักษณะ
องค์พระประดิษฐานอยู่บนฐานอาคารสูงที่ตกแต่งอย่างวิจิตรและทาสีทองทั้งหมดเช่นกัน ทำให้องค์พระยิ่งดูสูงเด่นและเปรียบเสมือนศูนย์กลางของพุทธสถานแห่งนี้ บริเวณโดยรอบเป็นลานวัดที่กว้างขวาง ขนาบข้างด้วยหลังคาสีทองของอาคารเสนาสนะต่างๆ ที่สะท้อนถึงเอกลักษณ์ของวัด ในฉากหลังปรากฏแนวต้นไม้สีเขียวและบ้านเรือน ทำให้เห็นว่าองค์พระพุทธรูปนี้ไม่เพียงแต่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในวัด แต่ยังเป็นศูนย์รวมศรัทธาที่คอยเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของผู้คนในชุมชนโดยรอบอีกด้วย

ด้านหน้าอุโบสถ

ด้านทิศตะวันตกของอุโบส

พระอุโบสถของวัดปากน้ำโจ้โล้มีความงดงามโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ด้วยการทาสีทองอร่ามทั่วทั้งหลัง ตั้งแต่ส่วนฐาน หลังคา ไปจนถึงเครื่องบนสุดของสถาปัตยกรรม เช่น ช่อฟ้า ใบระกา และหางหงส์ ทำให้เกิดภาพที่ตระการตาและเปล่งประกายเมื่อต้องแสงอาทิตย์ ตัวอุโบสถสร้างตามแบบแผนสถาปัตยกรรมไทยประเพณี มีผนังและเสาที่ประดับด้วยลวดลายปูนปั้นอันวิจิตรบรรจง
รอบอุโบสถล้อมรอบด้วยกำแพงแก้วสีทอง บริเวณทางเข้าหลักมีซุ้มประตูที่ตกแต่งลวดลายอย่างพิสดาร ภายในซุ้มประตูนั้นเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางประทับยืนเพื่อความเป็นสิริมงคล ส่วนบริเวณด้านข้างคือทิศเหนือของอุโบสถปรากฏรูปปั้นช้างสามเศียร ๒ เชือกขนาดใหญ่เคลือบสีทองอร่าม ยืนอยู่บนกำแพง เชือกหนึ่งหันหน้าไปทิศตะวันตก เชือกหนึ่งหันไปทางทิศตะวันออก
ส่วน ลานด้านทิศเหนือ ซึ่งถัดจากอุโบสถมาไม่ไกล เป็นที่ประดิษฐานพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ในพระอิริยาบถทรงยืน สง่างามอยู่ในฉลองพระองค์นักรบ พระหัตถ์ทรงถือดาบอันเป็นสัญลักษณ์ของวีรกษัตริย์นักรบผู้ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ชาติไทย
วัดปากน้ำโจ้โล้เดิมเป็นสำนักสงฆ์อยู่ในสมัยอยุธยาตอนปลาย หน้าวัดมีคลองไหลผ่านมารวมกับแม่น้ำบางปะกง พื้นที่บริเวณนี้เป็นที่ตั้งของทัพพม่า ซึ่งมีทั้งทัพบกและทัพเรือ ได้ต่อสู้และพ่ายแพ้ทัพของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช พระองค์จึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเจดีย์ขึ้น ณ ที่แห่งนี้ เพื่อเป็นอนุสรณ์ (แต่ต่อมาเจดีย์นี้ถูกน้ำกัดเซาะพังทลายลงไปหมด กรมศิลปากรจึงได้สร้างขึ้นมาใหม่ในบริเวณเดิม) คำว่า “โจ้โล้” มาจากการที่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชชทรงวางแผนยุทธการการสงครามเข้าตีทหารพม่าโดยการที่ทรงโล้เรือมาตามน้ำ ให้ทหารพม่าเห็นว่าทรงมาเพียงลำพังให้ทัพพม่าตายใจ แล้วให้ทหารซุ้มล้อมโจมตีจนได้ชัยชนะ และได้เรียกกันต่อมาว่า “เจ้าโล้” แต่ต่อมาเพี้ยนมาเป็น “โจ้โล้” และอีกประวัติหนึ่งคือ ลำน้ำนี้มีปลากระพงชุกชุม และชาวจีนเรียกว่า โจ้โล้ จากข้อมูลกรมการศาสนา ระบุว่าตั้งวัดเมื่อ พ.ศ. ๒๓๓๖

คชสีห์ (Kojasri) หรือ กชสีห์ (Gajasimha) เป็นสัตว์หิมพานต์ในเทพปกรณัมและจินตนาการตามคติความเชื่อของฮินดูและไทย มีลักษณะทางกายภาพเป็นสัตว์พันธุ์ผสมระหว่าง “คช” (ช้าง) และ “สีห์” (สิงโตหรือราชสีห์) โดยทั่วไปจะมีลำตัวเป็นราชสีห์ แต่มีส่วนหัวเป็นช้างพร้อมงวงและงา คชสีห์ได้รับการยกย่องว่าเป็นสัตว์ที่มีพละกำลังมหาศาล จากการรวมความแข็งแกร่งของช้างและความทรงอำนาจของราชสีห์ไว้ในตัวตนเดียว จึงกลายเป็นสัญลักษณ์ที่สื่อถึงอำนาจ ตบะ และเดชะที่น่าเกรงขาม
ในงานศิลปะไทย คชสีห์มักถูกสร้างสรรค์ให้มีลักษณะพิเศษเพิ่มเติมเพื่อเน้นย้ำถึงความศักดิ์สิทธิ์และอิทธิฤทธิ์เหนือธรรมชาติ โดยเฉพาะการสร้างให้มีปีกอันวิจิตร เพื่อสื่อถึงการเป็นสัตว์จากป่าหิมพานต์อันไกลโพ้น ดังที่ปรากฏอย่างเด่นชัดในภาพรูปปั้น ณ วัดปากน้ำโจ้โล้ ซึ่งเป็นประติมากรรมคชสีห์สีทองอร่ามที่สร้างขึ้นอย่างสง่างามในท่วงท่าหมอบเฝ้าระวัง แสดงให้เห็นถึงรายละเอียดอันประณีต ทั้งลวดลายบนลำตัว และปีกที่กางออกอย่างองอาจ สะท้อนถึงสถานะอันสูงส่งและพลังอำนาจที่พร้อมจะปกป้องพิทักษ์สถานที่สำคัญ
คชสีห์ปรากฏอย่างเด่นชัดในวัฒนธรรมของหลายชาติ โดยเฉพาะในประเทศไทยและกัมพูชา
- ในประเทศไทย คชสีห์มีความสำคัญเชิงสัญลักษณ์อย่างยิ่ง โดยถูกใช้เป็นตราประจำตำแหน่ง “สมุหกลาโหม” มาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งเป็นอัครมหาเสนาบดีฝ่ายทหาร และได้สืบทอดมาเป็นเครื่องหมายราชการของกระทรวงกลาโหมในปัจจุบัน นอกจากนี้ คชสีห์ยังเคยปรากฏในฐานะผู้ประคองข้างหนึ่งของตราแผ่นดินของสยามในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. ๒๔๑๖ – ๒๔๕๓) โดยยืนคู่กับราชสีห์
- ในประเทศกัมพูชา คชสีห์ (กุตเจียะเซ็ย) ปรากฏในฐานะผู้ประคองข้างหนึ่งของตราแผ่นดินแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา (พ.ศ. ๒๕๓๖ – ปัจจุบัน) โดยยืนคู่กับราชสีห์เช่นกัน เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของปวงชนที่ช่วยกันค้ำจุนราชบัลลังก์
นอกจากนี้ ลวดลายคชสีห์ยังพบได้ในงานศิลปะโบราณของอินเดียและศรีลังกา สะท้อนถึงการเป็นสัญลักษณ์แห่งพลังอำนาจที่หยั่งรากลึกในวัฒนธรรมแถบนี้มาอย่างยาวนาน

ภาพนี้แสดงให้เห็นรายละเอียดของกำแพงแก้วรอบพระอุโบสถวัดปากน้ำโจ้โล้ได้อย่างชัดเจน ซึ่งมีรูปปั้นของท้าวเวสสุวรรณใน ๒ ลักษณะท่าทางแต่ละท่าทางมีความหมายเชิงสัญลักษณ์ที่ลึกซึ้งแตกต่างกันไป ดังนี้
๑. ท้าวเวสสุวรรณในท่ายืนถือกระบอง
รูปปั้นองค์ที่ใหญ่กว่า ซึ่งประดิษฐานอยู่บนแท่นเป็นระยะๆ ตลอดแนวระเบียงคดหรือกำแพงแก้ว คือ ท้าวเวสสุวรรณ ในลักษณะของ “ทวารบาล” หรือผู้รักษาประตู/อาณาเขต มีความหมายดังนี้
- การพิทักษ์รักษา ความหมายที่สำคัญที่สุดคือการปกป้องคุ้มครอง ท่าประทับยืนถือกระบองในท่าเตรียมพร้อม แสดงถึงการเฝ้าระวังอย่างแข็งขัน เพื่อป้องกันสิ่งชั่วร้าย ภูตผีปีศาจ และพลังงานอัปมงคลต่างๆ ไม่ให้ล่วงล้ำเข้ามาในเขตพุทธาวาสอันศักดิ์สิทธิ์
- อำนาจและบารมี ท้าวเวสสุวรรณทรงเป็นหนึ่งในท้าวจตุโลกบาล ผู้เป็นใหญ่ในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาและเป็นนายแห่งยักษ์ทั้งปวง ท่าประทับยืนที่สง่างามจึงสื่อถึงอำนาจ บารมี และความน่าเกรงขามที่เหล่ามารต้องยอมสยบ
- เทพแห่งโภคทรัพย์ นอกจากด้านการปกป้องแล้ว ท้าวเวสสุวรรณยังเป็นเทพเจ้าแห่งความมั่งคั่ง การประดิษฐานท่านไว้จึงมีความหมายถึงการปกป้องรักษาทรัพย์สมบัติของวัด และยังเป็นการอวยพรให้ผู้ที่มาสักการะมีความเจริญรุ่งเรืองและโชคลาภอีกด้วย
๒. รูปปั้นในท่าใช้มือยกหรือแบกกำแพง
- ความมั่นคงและเสถียรภาพ ความหมายหลักคือการค้ำจุน เป็นสัญลักษณ์ว่าศาสนสถานอันศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ตั้งอยู่บนรากฐานที่แข็งแกร่งมั่นคง เปรียบเสมือนเขาพระสุเมรุซึ่งเป็นศูนย์กลางของจักรวาลในคติไตรภูมิ ก็มีสิ่งต่างๆ คอยค้ำจุนอยู่โดยรอบ การนำรูปยักษ์มาแบกฐานไว้จึงสื่อถึงความมั่นคงถาวรของพระพุทธศาสนา
- การอุทิศตนรับใช้ ท่าทางนี้แสดงถึงการใช้พละกำลังอันมหาศาลของเหล่าบริวารมารับใช้พระพุทธศาสนา เป็นการแสดงให้เห็นว่าแม้แต่ยักษ์ที่เคยดุร้ายก็ยังยอมสยบและอุทิศกำลังของตนเพื่อค้ำจุนสิ่งสูงสุด
- การแบ่งภาระ ในอีกนัยหนึ่ง ยังสื่อถึงการร่วมแรงร่วมใจกันของเหล่าผู้มีจิตศรัทธาในการทำนุบำรุงและค้ำจุนพระศาสนาให้สืบต่อไป
โดยสรุป ท่ายืนถือกระบอง คือการ “ปกป้องจากภายนอก” ส่วน ท่าแบกกำแพง คือการ “ค้ำจุนจากภายใน” เมื่อทั้งสองลักษณะมาอยู่รวมกันจึงเป็นการสร้างความหมายที่สมบูรณ์ของเขตศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับการปกป้องอย่างเข้มแข็งและมีความมั่นคงอย่างที่สุด

พญาช้างเอราวัณ ๓ เศียร
กำแพงรอบอุโบสถวัดปากน้ำโจ้โล้ที่เห็นในภาพนี้ช่างสวยงามละลานตา ทุกตารางนิ้วเป็นสีทองอร่าม ตกแต่งด้วยลวดลายอันวิจิตรที่มองแล้วเพลินตามากๆ จะเห็นว่ามีรูปปั้นของพญาช้างเอราวัณ ๓ เศียร สีทองตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่เป็นระยะๆ บนกำแพง ดูแล้วขลังและยิ่งใหญ่จริงๆ ตรงกลางระหว่างลายแกะสลักก็มีตราธรรมจักร ซึ่งเป็นสัญลักษณ์สำคัญของพระพุทธศาสนาประดับไว้อย่างสวยงามลงตัว
และที่น่าทึ่งมากๆ คือส่วนฐานของกำแพง จะมีรูปปั้นของท้าวเวสสุวรรณในท่านั่งยองๆ เรียงกันเป็นแถว เหมือนกับว่าท่านกำลังใช้พละกำลังทั้งหมดช่วยกันแบกและค้ำจุนกำแพงแก้วแห่งนี้เอาไว้ เป็นภาพที่สื่อถึงพลังแห่งความศรัทธาที่ช่วยกันค้ำจุนพระศาสนาได้อย่างดีเยี่ยมเลยครับ

ด้านในอุโบสถทาด้วยสีทองทั้งหมด เหลืองอร่ามงามตา ประดิษฐานด้วยพระพุทธรูปหลายทรงสวยงาม ส่วนผนังอุโบสถไม่ได้วาดเป็นจิตรกรรมฝาผนังแต่ใช้การประดับกรอบประตู หน้าต่างด้วยลวดลายปูนปั้นแทน อีกหนึ่งไฮไลต์ของที่วัดก็คือการลอดใต้ฐานพระประธานเพื่อความเป็นสิริมงคล โดยบริเวณทางเข้าจะหลบมุมต้องเดินเข้าไปใกล้จึงจะรู้ว่ามีทางเดินลอดระยะสั้นๆ อยู่ ด้านในมีพัดลมช่วยระบายอากาศ เวลาเดินให้เดินเข้าทางซ้ายและเดินทะลุออกมายังฝั่งขวาของพระประธาน ขณะลอดก็จะมีบทสวดมนต์ภาวนาอธิษฐานจิตเพื่อให้จิตสงบเป็นสมาธิ

หลังจากพระองค์ออกผนวชได้ ๖ ปี จนเมื่อพระชนมายุ ๓๕ พรรษา เจ้าชายสิทธัตถะก็ทรงตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ณ ใต้ร่มไม้ศรีมหาโพธิ์ ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม ในตอนเช้ามืดของวันพุธ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ปีระกา ก่อนพุทธศักราช ๔๕ ปี ปัจจุบัน สถานที่ตรัสรู้แห่งนี้ เรียกว่า พุทธคยา เป็นตำบลหนึ่งของเมืองคยา แห่งรัฐพิหารของอินเดีย

พระแม่ธรณีบีบมวยผม มีปรากฏในพุทธประวัติความว่า …เมื่อครั้งพระพุทธองค์ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงผจญกับเหล่าพวกพญามารทั้งหลาย พญามารได้ออกอุบายต่างๆ นานา เพื่อให้พระพุทธองค์ทรงเกิดกิเลสตัณหา แต่พระพุทธองค์ทรงไม่ยินดียินร้าย และในครั้งนั้นเองพระแม่ธรณีทรงแสดงปาฏิหาริย์ปราบเหล่าพญามารโดยทรงบีบมวย ผมให้น้ำไหลออกมาท่วม พวกพญามารทั้งหลายให้พ่ายแพ้ไป

๑. พระพุทธเจ้าตัณหังกร ผู้กล้าหาญ ๒. พระพุทเจ้าเมธังกร ผู้มียศใหญ่ ๓. พระพุทธเจ้าสรณังกร ผู้เกื้อกูลแก่โลก ๔. พระเจ้าเจ้าทีปังกร ผู้ทรงไว้ซึ่งปัญญาอันรุ่งเรือง ๕. พระพุทธเจ้าโกณฑัญญะ ผู้เป็นประมุขแห่งหมู่ชน ๖. พระพุทธเจ้าสุมังคละ ผู้เป้นบุรุษประเสริฐ ๗. พระพุทธเจ้าสมุนะ ผู้เป็นบุรุษมีหทัยงาม ๘. พระพุทธเจ้าเรวตะ ผู้เพิ่มพูนความดี ๙. พระพุทธเจ้าโสภิตะ ผู้สมบูรณ์ด้วยพระคุณ ๑๐. พระพุทธเจ้าอโนมทัสสี ๑๑. พระพุทธเจ้าปทุมะ ผู้ทำให้โลกสว่าง ๑๒. พระพุทธเจ้านารทะ ผู้เป็นสารถีประเสริฐ ๑๓. พระพุทธเจ้าปทุมุตตระ ผู้เป็นที่พึ่งแก่หมู่สัตว์ ๑๔. พระพุทธเจ้าสุเมธะ ผู้บุคคลเปรียบมิได้ ๑๕. พระพุทธเจ้าสุชาตะ ผู้เลิศกว่าสัตว์โลกทั้งปวง ๑๖. พระพุทธเจ้าปยะทัสสี ผู้ประเสริฐกว่านรชน ๑๗. พระพุทธเจ้าอัตถทัสสี ผู้มีพระกรุณา ๑๘. พระพุทธเจ้าธัมมทัสสี ผู้บรรเทามืด ๑๙. พระพุทธเจ้าสิทธัตถะ ผู้หาบุคคเสมอมิได้ในโลก ๒๐. พระพุทธเจ้าติสสะ ผู้ประเสริฐกว่านักปราชญ์ทั้งหลาย ๒๑. พระพุทธเจ้าปุสสะ ผู้ประทานธรรมอันประเสริฐ ๒๒. พระพุทธเจ้าวิปัสสี ผู้หาที่เปรียบมิได้ ๒๓. พระพุทธเจ้าสิขี ผู้เป็นศาสดาเกื้อกูลแก่สรรพสัตว์ ๒๔. พระพุทธเจ้าเวสสภู ผู้ประธานความสุข ๒๕. พระพุทธเจ้ากกุสันธะ ผู้นำสัตว์ออกจากกันดารคือกิเลส ๒๖. พระพุทธเจ้าโกนาคมนะ ผู้หักเสียซึ่งข้าศึก คือ กิเลส ๒๗. พระพุทธเจ้ากัสสปะ ผู้สมบูรณ์ด้วยสิริ ๒๘. พระพุทธเจ้าโคตมะ ผู้ประเสริฐแห่งหมู่ศากยราช

จุดบูชาดอกไม้ธูปเทียนทอง จุดแลกเงินและจุดบูชาน้ำมันเติมตะเกียง

ภาพนี้เป็นการจำลองพุทธประวัติตอนที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปจำพรรษา ณ ป่ารักขิตวัน หรือที่รู้จักกันในชื่อ “ปางป่าเลไลยก์”
ในภาพจะเห็นองค์พระพุทธรูปสีทองในอิริยาบถประทับยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ซึ่งสื่อถึงบรรยากาศในป่าลึกที่พระพุทธองค์เสด็จปลีกวิเวกมาประทับอยู่เพียงลำพัง หลังจากทรงเบื่อหน่ายที่พระภิกษุในเมืองโกสัมพีทะเลาะวิวาทกันไม่รู้สิ้นสุด
ทางด้านซ้ายของภาพมีรูปปั้น พญาช้างปาลิไลยกะ (หรือป่าเลไลย์) ขนาดใหญ่สีทอง ยืนน้อมใช้งวงถวายพวงมาลัยและน้ำดื่มแด่พระพุทธองค์ และใกล้ๆ กันนั้นจะมีรูปปั้น ลิง (พญาวานร) ตัวน้อยคอยเฝ้าปรนนิบัติรับใช้ ซึ่งตามพุทธประวัติเล่าว่า พญาช้างได้คอยปรนนิบัติพระพุทธเจ้าด้วยการถวายผลไม้และน้ำดื่ม ส่วนพญาวานรก็ได้นำรวงผึ้งมาถวายด้วยความเลื่อมใสเช่นกัน
ภาพรวมทั้งหมดจึงเป็นการจำลองเหตุการณ์อันน่าประทับใจที่แสดงให้เห็นว่า แม้แต่สัตว์เดรัจฉานก็ยังเกิดความเลื่อมใสในพระบารมีและมีจิตใจที่อ่อนโยน พร้อมใจกันมาอุปัฏฐากดูแลพระพุทธองค์ในยามที่ทรงปลีกวิเวกจากความวุ่นวายของหมู่สงฆ์ สะท้อนถึงความเมตตาของพระพุทธเจ้าที่มีต่อสรรพสัตว์ทั้งปวง

ฐานพระประธานองค์ยืน ด้านในประดับด้วยภาพจิตกรรมฝาผนัง
วิหารหลวงพ่อใหญ่องค์ยืนปางอุ้มบาตร ณ วัดปากน้ำโจ้โล้หลังนี้ ตั้งตระหง่านเปล่งประกายสีทองอร่ามไปทั่วทุกอณู เป็นสถาปัตยกรรมทางพุทธศิลป์ร่วมสมัยที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นฐานรองรับองค์พระพุทธรูปขนาดใหญ่ (หลวงพ่อใหญ่) ที่ประดิษฐานอยู่เบื้องบน ลักษณะโดยรวมของตัววิหารเป็นอาคารทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่เน้นความสมมาตรอย่างงดงาม โดยมีประตูทางเข้าหลักอยู่กึ่งกลาง และขนาบข้างด้วยหน้าต่างฝั่งละสองบาน
สิ่งที่สะกดสายตาของผู้มาเยือนได้ในทันทีคือการใช้ สีทอง เพียงสีเดียวเคลือบคลุมพื้นผิวภายนอกทั้งหมด สร้างความรู้สึกถึงความมั่งคั่งแห่งศรัทธาและความสุกสว่างแห่งพระธรรม ดุจดั่งทิพยวิมานบนโลกมนุษย์ ผนังทั้งหมดประดับประดาไปด้วย ลายปูนปั้น อันวิจิตรตระการตา โดยเฉพาะบริเวณซุ้มประตูและซุ้มหน้าต่างที่ได้รับการสร้างสรรค์อย่างประณีตเป็นพิเศษ
ศิลปะลวดลายภายนอก นั้นโดดเด่นด้วย “ลายกนก” ที่มีความอ่อนช้อยแต่ทรงพลัง ลวดลายถูกปั้นให้มีความลึกและซ้อนทับกันหลายชั้น ทำให้เกิดมิติและแสงเงาที่งดงามเมื่อต้องแสงอาทิตย์ ลายกนกเลื้อยไหลต่อเนื่องกันไปทั่วทั้งผนังราวกับมีชีวิต สร้างความรู้สึกเคลื่อนไหวและความรุ่งโรจน์ให้กับตัววิหาร ขอบบนของอาคารประดับด้วยแนวบัวและใบระกาจำลองที่เรียงต่อกันเป็นแนวยาวเหมือนดังมงกุฎที่สวมครอบตัววิหารไว้ เป็นการเติมเต็มความสง่างามให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ท่ามกลางลวดลายสีทองอันวิจิตรนั้น มีการใช้ภาพพิมพ์ลายท้องฟ้าและก้อนเมฆมาประดับที่บานหน้าต่าง ซึ่งเป็นลูกเล่นแบบสมัยใหม่ที่สร้างความแตกต่างได้อย่างน่าสนใจ ทำให้ดูราวกับเป็นหน้าต่างที่เปิดออกสู่แดนสวรรค์
ตามข้อมูลที่ท่านให้มา ภายในวิหารหลังนี้ จะเป็นพื้นที่สำหรับแสดง ภาพจิตรกรรมฝาผนัง ซึ่งเล่าเรื่องราวทางพระพุทธศาสนาและองค์พระมหากษัตริย์ของไทย ทำให้วิหารหลังนี้มีความสำคัญสองประการ คือในฐานะที่เป็นฐานอันมั่นคงและงดงามขององค์หลวงพ่อใหญ่ และในฐานะที่เป็นหอศิลป์ทางธรรมที่ให้ความรู้และสร้างความจรรโลงใจแก่ผู้มาเยือน
โดยสรุป วิหารหลวงพ่อใหญ่ปางอุ้มบาตรหลังนี้คือตัวอย่างอันยอดเยี่ยมของพุทธศิลป์ที่เปี่ยมด้วยพลังแห่งศรัทธา ซึ่งหลอมรวมความงามของลายไทยแบบดั้งเดิมเข้ากับโครงสร้างและวัสดุสมัยใหม่ได้อย่างกลมกลืน สร้างสรรค์เป็นพุทธสถานอันศักดิ์สิทธิ์และน่าอัศจรรย์ใจอย่างแท้จริง

ภาพจิตกรรมฝาผนัง ภายในฐานพระประธานองค์ยืน
ภาพจิตรกรรมฝาผนังส่วนนี้ ซึ่งประดับอยู่ภายในวิหารของวัดปากน้ำโจ้โล้ เป็นผลงานพุทธศิลป์ร่วมสมัยที่งดงามและแฝงไปด้วยความหมายอันลึกซึ้ง สร้างบรรยากาศที่สงบและน่าเลื่อมใสให้กับผู้ที่ได้เข้ามาเยี่ยมชม
เมื่อแรกเห็น สิ่งที่โดดเด่นที่สุดของภาพจิตรกรรมนี้คือการใช้โทนสี สีฟ้า-น้ำเงิน-ขาว เป็นหลัก ซึ่งแตกต่างจากจิตรกรรมฝาผนังไทยแบบประเพณีที่มักใช้สีโทนร้อนเช่นสีแดงและสีทอง การเลือกใช้สีโทนเย็นนี้ทำให้ทั่วทั้งบริเวณดูสว่างไสว สบายตา และให้ความรู้สึกถึงมิติของสรวงสวรรค์หรือแดนทิพย์อันไกลโพ้น ศิลปินได้วาดภาพหมู่เทพเทวดาที่กำลังประนมมือแสดงความเคารพต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์เบื้องบน ท่ามกลางปุยเมฆที่ลอยละล่องอยู่เต็มท้องฟ้า องค์เทวดาแต่ละองค์ได้รับการวาดอย่างอ่อนช้อยและสง่างามตามแบบฉบับของศิลปะไทย
มุมขวาบนของภาพ เป็นส่วนที่มีความสำคัญและสะท้อนถึงความจงรักภักดีของปวงชนชาวไทยได้อย่างชัดเจน นั่นคือ พระบรมสาทิสลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (ในหลวงรัชกาลที่ ๙) เมื่อครั้งที่ทรงผนวช ในปี พ.ศ. 2499 โดยทรงมีพระนามในขณะนั้นว่า “ภิกษุภูมิพโล”
ภาพของ “ภิกษุภูมิพโล” ถูกวาดขึ้นด้วยความเคารพยิ่ง แสดงให้เห็นถึงพระจริยวัตรอันงดงามและสงบนิ่งในสมณเพศ การนำพระบรมสาทิสลักษณ์ของพระองค์มาประดับไว้ในภาพจิตรกรรมฝาผนังของวัดนั้น ถือเป็นการถวายพระเกียรติยศสูงสุดในฐานะที่ทรงเป็น “องค์ศาสนูปถัมภก” ผู้ยิ่งใหญ่ และทรงเป็น “ธรรมราชา” ผู้ปกครองแผ่นดินโดยทศพิธราชธรรมเสมอมา การจัดวางภาพของพระองค์ท่านให้อยู่ในระดับเดียวกับหมู่เทพเทวดา เป็นการสื่อความหมายเชิงสัญลักษณ์ว่า พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ผู้มีบุญญาบารมีและทรงเป็นที่รักเคารพเทิดทูนเหนือเกล้าเหนือกระหม่อม ดุจดังสมมติเทพที่สถิตอยู่ในใจของพสกนิกรชาวไทย
โดยสรุปแล้ว จิตรกรรมฝาผนังภาพนี้จึงมิใช่เป็นเพียงงานศิลปะเพื่อความสวยงามเท่านั้น แต่ยังเป็นการหลอมรวมความเชื่อทางพระพุทธศาสนาเข้ากับสถาบันพระมหากษัตริย์ได้อย่างลงตัว สร้างสรรค์เป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสงบ ความศรัทธา และความจงรักภักดีอันเป็นรากฐานสำคัญของสังคมไทย

ศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช (คลิก เข้าชมภาพที่เกี่ยวข้อง)
ภาพนี้สะท้อนถึงความศรัทธาและประวัติศาสตร์อันลึกซึ้งของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชที่มีต่อวัดปากน้ำโจ้โล้และเมืองแปดริ้วได้อย่างชัดเจน
ประวัติศาสตร์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชและวัดปากน้ำโจ้โล้
ความสัมพันธ์ระหว่างสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชและวัดปากน้ำโจ้โล้เกิดขึ้นในช่วงเวลาสำคัญของการกอบกู้เอกราชของชาติไทย ภายหลังจากที่กรุงศรีอยุธยาแตกครั้งที่ ๒ ในปี พ.ศ. ๒๓๑๐
เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช (ขณะนั้นยังทรงเป็นพระยาวชิรปราการ) ได้รวบรวมไพร่พลตีฝ่าวงล้อมของทัพพม่าออกจากกรุงศรีอยุธยา พระองค์ได้เดินทัพมุ่งหน้ามาทางทิศตะวันออกเพื่อรวบรวมกำลังพลและจัดตั้งฐานที่มั่น โดยเมืองฉะเชิงเทราเป็นหนึ่งในเมืองยุทธศาสตร์ที่สำคัญ
ณ บริเวณปากน้ำโจ้โล้แห่งนี้ ได้เกิดการสู้รบครั้งสำคัญระหว่างทัพของพระองค์กับทัพพม่าที่ไล่ตามมา กล่าวกันว่าพระองค์ทรงวางแผนการรบอย่างชาญฉลาด โดยใช้กลยุทธ์ “โจ้โล้” ซึ่งเป็นการเข้าสู้รบแบบจู่โจมประชิดตัวอย่างรวดเร็วจนทหารพม่าเกิดความสับสนและแตกพ่ายไปในที่สุด ชัยชนะในครั้งนี้ไม่เพียงแต่จะสร้างขวัญและกำลังใจให้แก่ไพร่พล แต่ยังเป็นการยึดเมืองฉะเชิงเทราเป็นฐานที่มั่นสำคัญในการกอบกู้เอกราชต่อไป
ด้วยเหตุนี้เอง วัดปากน้ำโจ้โล้ (เดิมเป็นสำนักสงฆ์เล็กๆ) จึงกลายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่เกี่ยวเนื่องกับพระปรีชาสามารถและชัยชนะของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชโดยตรง และได้มีการสร้าง ศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานให้ประชาชนได้สักการะรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์สืบมา
ภาพรวมของสิ่งที่เห็นในบริเวณศาล
ภาพทั้งสี่ที่คุณนำมาแสดงให้เห็นถึงองค์ประกอบสำคัญของสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ ซึ่งสะท้อนเรื่องราวและความเชื่อที่เชื่อมโยงกับพระองค์ท่าน
- ศาลและรูปหล่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ศูนย์กลางของความศรัทธาคือศาลอันเป็นที่ประดิษฐานพระบรมรูปของพระองค์ในพระอิริยาบถทรงม้าหรือประทับยืน แสดงถึงพระบารมีและพระวิริยะอุตสาหะในการนำทัพกอบกู้ชาติบ้านเมือง
- พระแสงดาบประจำพระองค์ การจัดแสดงดาบจำลองเป็นสัญลักษณ์แทนพระแสงดาบที่พระองค์ทรงใช้ในการรบ เป็นเครื่องหมายแห่งอำนาจ พระบารมี และชัยชนะเหนืออริราชศัตรู
- ฝูงไก่จำนวนมาก รูปปั้นไก่แก้วและไก่ชนจำนวนมหาศาลที่ผู้คนนำมาถวายเป็นเครื่องแก้บนนั้น มีที่มาจากเรื่องเล่าและตำนานความเชื่อที่หลากหลาย บ้างก็ว่าในสมัยที่ทรงพระเยาว์ พระองค์ทรงโปรดการชนไก่ และไก่ของพระองค์เป็นไก่เก่งที่ไม่เคยแพ้ใคร บ้างก็ว่าเป็นสัญลักษณ์ของความขยันขันแข็ง ตื่นเช้า และความเป็นนักสู้ การถวายไก่จึงเปรียบเสมือนการขอพรในเรื่องชัยชนะ ความสำเร็จ และความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน
- รูปหล่ออื่นๆ บริเวณรอบๆ มักจะมีรูปหล่อนายทหารคู่พระทัย หรือรูปปั้นม้าศึก เพื่อจำลองบรรยากาศและรำลึกถึงเหล่าทหารกล้าที่ได้ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ในการกอบกู้เอกราชของชาติไทย
โดยสรุป สถานที่แห่งนี้ไม่ได้เป็นเพียงศาสนสถาน แต่ยังเป็นอนุสรณ์สถานทางประวัติศาสตร์ที่มีชีวิต ซึ่งบอกเล่าเรื่องราวการต่อสู้ ความเสียสละ และพระปรีชาสามารถของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช วีรกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ของปวงชนชาวไทยได้เป็นอย่างดี

ไก่ที่พระเจ้าตากสินทรงโปรด ส่วนตรงกลางเป็นรูปหล่อหลวงปู่หงษ์ พรหมปญฺโญ
ความผูกพันระหว่าง “ไก่” กับ “สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช” เป็นเรื่องราวที่ผสานกันอย่างลึกซึ้งทั้งในแง่ของประวัติศาสตร์, สัญลักษณ์ และความเชื่อความศรัทธาของปวงชนชาวไทย จนกลายเป็นภาพที่คุ้นตาเมื่อเราเห็นรูปปั้นไก่ชนจำนวนมากตั้งถวายอยู่ตามศาลและพระบรมราชานุสาวรีย์ของพระองค์ท่าน
เรื่องราวของไก่และสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชนั้นมีรากฐานมาจากพระราชประวัติของพระองค์ตั้งแต่ครั้งยังทรงพระเยาว์และดำรงพระยศเป็น “สิน” กล่าวกันว่าพระองค์ทรงโปรดการ “ชนไก่” หรือ “ตีไก่” ซึ่งเป็นกีฬาและการละเล่นที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในหมู่ชายชาตรีและขุนนางสมัยกรุงศรีอยุธยา มีเรื่องเล่าที่เป็นตำนานสืบต่อกันมาว่า ไก่ชนของพระองค์นั้น เป็นไก่ที่มีลักษณะดี เป็นนักสู้ที่เก่งกาจและชาญฉลาด แม้จะมีขนาดเล็กกว่าคู่ต่อสู้ แต่ก็สามารถเอาชนะได้เสมอ เรื่องราวเหล่านี้ได้สะท้อนถึงพระอุปนิสัยและพระปรีชาสามารถของพระองค์เอง ที่ทรงเป็นนักสู้ผู้มีไหวพริบปฏิภาณและไม่เคยย่อท้อต่ออุปสรรคที่ยิ่งใหญ่กว่า
ด้วยเหตุนี้ “ไก่ชน” จึงได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์สำคัญที่สื่อถึงพระองค์ในหลายมิติ ประการแรกคือ สัญลักษณ์ของความเป็นนักสู้ผู้ไม่ยอมแพ้ คุณลักษณะของไก่ชนที่สู้จนตัวตายนั้น สะท้อนภาพของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชที่ทรงมีพระราชหฤทัยเด็ดเดี่ยวในการต่อสู้เพื่อกอบกู้เอกราชของชาติบ้านเมืองอย่างไม่ย่อท้อ แม้จะต้องเผชิญกับกองทัพของศัตรูที่แข็งแกร่งกว่ามากก็ตาม ประการที่สองคือ สัญลักษณ์ของความขยันขันแข็ง ไก่เป็นสัตว์ที่ตื่นแต่เช้า ส่งเสียงขันปลุกผู้คนให้ลุกขึ้นมาทำมาหากิน จึงเปรียบได้กับพระวิริยะอุตสาหะของพระองค์ที่ไม่เคยหยุดนิ่งในการสร้างชาติบ้านเมืองให้กลับมาเป็นปึกแผ่น
จากเรื่องราวทางประวัติศาสตร์และสัญลักษณ์อันทรงพลังนี้ ได้พัฒนามาสู่ความเชื่อและ การ “บนบานศาลกล่าว” ในปัจจุบัน ประชาชนผู้มีความศรัทธาในพระองค์ท่านมักจะมาขอพรในเรื่องที่ต้องอาศัยการต่อสู้ การแข่งขัน และความสำเร็จเป็นสำคัญ เช่น การชนะคดีความ, การสอบแข่งขัน, การเลื่อนตำแหน่งหน้าที่การงาน หรือการเอาชนะอุปสรรคทางธุรกิจ โดยจะตั้งจิตอธิษฐานว่าหากสิ่งที่ปรารถนาสำเร็จลุล่วง จะนำรูปปั้นไก่มาถวายเป็นการ “แก้บน” เพื่อแสดงความกตัญญูและรักษาสัจจะวาจาที่ให้ไว้ต่อดวงพระวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์
ดังนั้น ภาพของฝูงรูปปั้นไก่ที่เรียงรายอยู่เต็มศาลนั้น จึงมิใช่เป็นเพียงเครื่องสักการะธรรมดา แต่เป็นประจักษ์พยานแห่งความศรัทธาที่ผู้คนมีต่อพระองค์ และเป็นเครื่องย้ำเตือนถึงจิตวิญญาณของนักสู้ผู้ยิ่งใหญ่ ผู้เป็นต้นแบบของความกล้าหาญ ความเพียรพยายาม และความสำเร็จ อันเป็นคุณสมบัติที่จารึกอยู่ในพระนาม “สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช” วีรกษัตริย์ของปวงชนชาวไทยตราบนิจนิรันดร์

หมอชีวกโกมารภัจจ์
บรมครูแห่งการแพทย์แผนโบราณ หมอชีวกโกมารภัจจ์ เป็นบุคคลสำคัญอย่างยิ่งในประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา ท่านมิใช่เป็นเพียงแพทย์ผู้มีชื่อเสียงในยุคพุทธกาลเท่านั้น แต่ยังเป็นพุทธศาสนิกชนผู้มีบทบาทสำคัญในการอุปถัมภ์ค้ำจุนพระพุทธเจ้าและคณะสงฆ์อย่างใกล้ชิด จนได้รับการยกย่องจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เป็นเอตทัคคะ คือ เป็นเลิศกว่าอุบาสกทั้งหลายในด้าน “เป็นที่รักของปวงชน”
เรื่องราวของท่านเริ่มต้นขึ้นที่กรุงราชคฤห์ แม้จะมีชาติกำเนิดที่ไม่ได้สวยหรูนัก แต่ด้วยบุญบารมีที่สั่งสมมา ท่านได้รับการอุปการะเลี้ยงดูโดยอภัยราชกุมาร พระราชโอรสของพระเจ้าพิมพิสาร เมื่อเติบใหญ่ขึ้น ท่านได้เดินทางไปศึกษาวิชาแพทย์ ณ เมืองตักกสิลา ด้วยสติปัญญาอันชาญฉลาดและความมุ่งมั่นพากเพียร ท่านสำเร็จวิชาแพทย์อย่างแตกฉานภายในเวลาเพียง ๗ ปี และได้ประจักษ์ถึงสัจธรรมที่ว่า “พืชทุกชนิดในโลกล้วนมีสรรพคุณเป็นยาได้ทั้งสิ้น”
เมื่อสำเร็จการศึกษา ท่านได้เดินทางกลับมายังกรุงราชคฤห์และได้สร้างชื่อเสียงจากการรักษาโรคที่ยากๆ ให้หายขาดได้เป็นอัศจรรย์ เช่น การรักษาโรคริดสีดวงทวารของพระเจ้าพิมพิสาร การผ่าตัดเนื้องอกในสมองให้เศรษฐี และการรักษาโรคผอมเหลืองของพระเจ้าจัณฑปัชโชต เป็นต้น จนได้รับการแต่งตั้งให้เป็นแพทย์หลวงประจำราชสำนัก และต่อมาท่านได้ถวายตัวเป็นแพทย์ประจำพระองค์ของพระพุทธเจ้า
ความเกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าและพระพุทธศาสนา
ความสัมพันธ์ระหว่างหมอชีวกโกมารภัจจ์และพระพุทธศาสนานั้นแนบแน่นและลึกซึ้งอย่างยิ่ง ท่านไม่ได้เป็นเพียงผู้ให้การรักษา แต่เป็นอุบาสกผู้เปี่ยมด้วยศรัทธาอย่างแท้จริง
- แพทย์ประจำพระองค์ บทบาทที่สำคัญที่สุดคือการเป็นแพทย์ประจำพระองค์ของพระพุทธเจ้า หมอชีวกได้ถวายการดูแลรักษาพระวรกายของพระพุทธเจ้าหลายครั้ง ครั้งสำคัญที่สุดคือคราวที่พระเทวทัตลอบปลงพระชนม์โดยการกลิ้งหินลงมาจากภูเขา แม้หินก้อนใหญ่จะพลาดไป แต่สะเก็ดหินได้กระเด็นมาต้องพระบาทจนห้อพระโลหิต หมอชีวกเป็นผู้ถวายการรักษาพยาบาลจนพระอาการทุเลาลง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการมีสุขภาพที่ดี แม้แต่ในการบำเพ็ญพุทธกิจ
- ผู้อุปถัมภ์พระสงฆ์ ด้วยความที่ท่านเป็นแพทย์ ท่านจึงเข้าใจถึงความเจ็บป่วยและสุขอนามัยของคณะสงฆ์เป็นอย่างดี ท่านไม่เพียงแต่ถวายการรักษาพระภิกษุที่อาพาธเท่านั้น แต่ยังได้กราบทูลขอพรจากพระพุทธเจ้าให้พระภิกษุสามารถรับ “ผ้าบังสุกุลจีวร” จากชาวบ้านได้ เพื่อสุขอนามัยที่ดี ซึ่งแต่เดิมพระภิกษุต้องใช้ผ้าที่หาได้จากกองขยะหรือผ้าห่อศพเท่านั้น นอกจากนี้ ท่านยังได้ถวายสวนมะม่วงของท่านให้เป็นวัดแห่งแรกในพระพุทธศาสนา มีชื่อว่า “ชีวกัมพวัน” เพื่อเป็นที่ประทับของพระพุทธเจ้าและที่พำนักของหมู่สงฆ์
ด้วยคุณูปการอันใหญ่หลวงทั้งในทางการแพทย์และการอุปถัมภ์พระพุทธศาสนา ทำให้หมอชีวกโกมารภัจจ์เป็นที่เคารพศรัทธามาตราบจนปัจจุบัน ในประเทศไทย ท่านได้รับการยกย่องให้เป็น “บรมครูแห่งการแพทย์แผนไทย” และเป็นสัญลักษณ์แห่งความเมตตากรุณาในการช่วยเหลือผู้คนให้พ้นจากความทุกข์ทรมานจากโรคภัยไข้เจ็บ การกราบไหว้รูปหล่อของท่านจึงเปรียบเสมือนการระลึกถึงคุณความดีอันยิ่งใหญ่ และการขอพรให้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์ ปราศจากโรคภัยเบียดเบียน

วิหารหลวงพ่อโตจำลอง
วิหารหลวงพ่อโตจำลอง วัดปากน้ำโจ้โล้หลังนี้ ปรากฏโฉมอย่างโดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมที่ผสานความเรียบง่ายสงบงามเข้ากับศิลปะไทยอันวิจิตรได้อย่างลงตัว ลักษณะของตัววิหารโดยรวมมีผนังเป็นสีขาวสะอาดตา ให้ความรู้สึกถึงความสงบและบริสุทธิ์ ตั้งอยู่บนฐานบัวสีทองที่ยกเป็นชั้นสูงขึ้นไป ซึ่งไม่เพียงแต่จะเสริมให้ตัววิหารดูสง่างาม แต่ยังเป็นการเชิดชูองค์หลวงพ่อโตที่ประดิษฐานอยู่ภายในให้สูงเด่นเป็นที่เคารพสักการะ
จุดที่สะกดสายตาและเป็นหัวใจทางศิลปะของวิหารหลังนี้คือ ซุ้มประตูทางเข้า ที่สร้างสรรค์ขึ้นอย่างประณีตบรรจง กรอบประตูทั้งหมดประดับด้วยสีทองอร่ามสุกปลั่ง ตัดกับผนังสีขาวได้อย่างงดงาม บริเวณเหนือกรอบประตูขึ้นไปนั้น ประดับด้วยลวดลายศิลปะไทยโบราณที่เรียกว่า “ลายกระจัง” หรือลายกนกเปลวอันอ่อนช้อย การใช้คู่สี น้ำเงินเข้มตัดกับสีทอง ในลวดลายนั้น เป็นขนบของงานศิลป์ชั้นสูงที่ช่วยขับเน้นให้ลวดลายดูมีมิติและเปี่ยมด้วยคุณค่า ปลายบนของซุ้มประตูทั้งสองข้างประดับด้วยช่อฟ้าจำลองขนาดเล็กที่ชี้ขึ้นสู่เบื้องบน ทำให้ซุ้มประตูนี้เปรียบเสมือนกรอบแห่งทิพยวิมานที่เชื้อเชิญให้พุทธศาสนิกชนก้าวผ่านเข้าไปยังพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์เบื้องใน
เมื่อมองผ่านประตูที่เปิดอยู่เข้าไป จะเห็นองค์หลวงพ่อโตประดิษฐานอยู่อย่างสงบนิ่งอยู่ภายใน แสงที่ส่องกระทบจากภายนอกทำให้ซุ้มประตูสีทองทอประกายเจิดจ้า ราวกับเป็นประตูแห่งธรรมที่นำทางผู้มาเยือนให้เข้าสู่ความสงบร่มเย็นภายใต้บารมีขององค์หลวงพ่อโต นับเป็นสถาปัตยกรรมที่แฝงไปด้วยความศรัทธา ซึ่งถูกถ่ายทอดผ่านความงามทางศิลปะได้อย่างน่าประทับใจยิ่งนัก

หลวงพ่อโตจำลอง
หลวงพ่อโต องค์จริงประดิษฐานเป็นพระประธาน ณ พระอุโบสถวัดบางพลีใหญ่ใน จังหวัดสมุทรปราการ เป็นพระพุทธปฏิมาที่เปี่ยมด้วยพุทธลักษณะอันงดงามและเป็นที่เคารพเลื่อมใสอย่างสูงสุด องค์พระพุทธรูปนี้สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยสุโขทัย อยู่ในพุทธศิลป์แบบปางมารวิชัย (สะดุ้งมาร) ซึ่งมีพระเนตรเปิดมองอย่างเปี่ยมเมตตา หล่อขึ้นจากทองสำริดทั้งองค์ มีขนาดหน้าตักกว้าง ๓ ศอก ๑ คืบ
ความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อโตนั้นเป็นที่ประจักษ์และเลื่องลือจากตำนานพระพุทธรูปลอยน้ำสามพี่น้อง ซึ่งประกอบด้วยหลวงพ่อโสธร หลวงพ่อวัดบ้านแหลม และองค์หลวงพ่อโตเอง ตามตำนานกล่าวว่า องค์หลวงพ่อโตได้ลอยน้ำมาตามลำน้ำและได้แสดงปาฏิหาริย์จนกระทั่งชาวบ้านได้ประกอบพิธีอัญเชิญขึ้นประดิษฐาน ณ วัดบางพลีใหญ่ใน แห่งนี้ได้สำเร็จ ด้วยเหตุนี้ หลวงพ่อโตจึงไม่เพียงแต่เป็นที่เคารพสักการะของชาวบางพลีเท่านั้น แต่ยังเป็นศูนย์รวมจิตใจของพุทธศาสนิกชนจากทั่วทุกสารทิศที่เดินทางมาสักการะขอพรอย่างไม่ขาดสาย เพราะเหตุนี้ทางวัดปากน้ำโจ้โล้ได้เล็งเห็นความสำคัญและความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อโต จึงได้หล่อเป็นหลวงพ่อโตจำลองขึ้น ประดิษฐานอยู่ภายในวิหาร เพื่อให้พุทธศาสนิกชน ได้มากราบสักการะบูชา ขอพรกัน

ศาลเจ้าพ่อวงษ์
ศาลเจ้าพ่อวงษ์ซึ่งตั้งอยู่ภายในบริเวณวัดปากน้ำโจ้โล้ มีเรื่องราวที่ผูกพันกับความเชื่อและประวัติศาสตร์ท้องถิ่นอย่างลึกซึ้ง แม้จะไม่มีการบันทึกประวัติของท่านอย่างเป็นทางการที่แพร่หลายนัก แต่จากบริบททางประวัติศาสตร์ของวัดซึ่งเป็นสถานที่ที่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงมีชัยชนะเหนือทัพพม่า ทำให้เกิดการสันนิษฐานและเล่าขานกันสืบมาว่า “เจ้าพ่อวงษ์” อาจเป็นนายทหารผู้ภักดีหรือทหารกล้าในกองทัพของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ที่ได้ต่อสู้พลีชีพเพื่อปกป้องบ้านเมือง ณ สมรภูมิแห่งนี้ หรืออาจเป็นวีรชนคนท้องถิ่นที่ให้ความช่วยเหลือแก่กองทัพของพระองค์จนเป็นที่เคารพนับถือ
ด้วยคุณงามความดีและความเสียสละดังกล่าว ชาวบ้านในพื้นที่จึงได้ร่วมใจกันสร้างศาลขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์และเพื่อเป็นที่สถิตแห่งดวงวิญญาณของท่าน ให้ผู้คนได้มากราบไหว้สักการะขอพรและรำลึกถึงคุณความดีของท่านสืบต่อไป ศาลแห่งนี้จึงไม่ได้เป็นเพียงสิ่งปลูกสร้าง แต่เป็นศูนย์รวมจิตใจและเป็นเครื่องยืนยันถึงความศรัทธาที่ชาวบ้านมีต่อวีรบุรุษผู้เป็นส่วนหนึ่งของหน้าประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ของวัดปากน้ำโจ้โล้แห่งนี้