วัดโสธรวรารามวรวิหาร

ขอบคุณที่แชร์

ขอต้อนรับสู่ เว็บไซต์วัดโสธรวรารามวรวิหาร พระอารามหลวงคู่บ้านคู่เมืองฉะเชิงเทรา

ศูนย์รวมแห่งศรัทธาของพุทธศาสนิกชนทั่วประเทศ อันเป็นที่ประดิษฐานองค์ หลวงพ่อพุทธโสธร พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ปางสมาธิที่เปี่ยมด้วยพุทธานุภาพและเป็นที่เคารพบูชาสูงสุด

ณ สถานที่แห่งนี้ ท่านจะได้ร่วมสักการะองค์หลวงพ่อโสธรเพื่อความเป็นสิริมงคล พร้อมชื่นชมความวิจิตรตระการตาของพระอุโบสถหินอ่อนหลังใหม่ที่สง่างามที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย สะท้อนถึงพลังศรัทธาของประชาชนที่มีต่อพระพุทธศาสนา

ขอเชิญทุกท่านร่วมสัมผัสบรรยากาศอันศักดิ์สิทธิ์ ศึกษาประวัติศาสตร์และตำนานอันยาวนาน และค้นพบความสงบในจิตใจ ณ ดินแดนแห่งลุ่มน้ำบางปะกงแห่งนี้

ประวัติวัดโสธรวรารามวรวิหาร

วัดโสธรวรารามวรวิหาร มีสถานะเป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดวรวิหาร ตั้งอยู่ ณ เลขที่ ๑๓๔ ถนนมรุพงษ์ ตำบลหน้าเมือง อำเภอเมืองฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทรา โดยมีอาณาเขตด้านทิศตะวันออกติดกับแม่น้ำบางปะกง ในฐานะที่เป็นศาสนสถานเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองมายาวนาน วัดแห่งนี้จึงเป็นศูนย์รวมแห่งศรัทธาของพุทธศาสนิกชนทั่วทุกสารทิศ ด้วยเป็นที่ประดิษฐานองค์ “หลวงพ่อพุทธโสธร” พระพุทธรูปอันเป็นที่เคารพสักการะสูงสุดของชาวไทย

วัดโสธรวรารามวรวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดวรวิหาร สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย เดิมมีสถานะเป็นวัดราษฎร์ ต่อมาจึงได้รับการยกสถานะขึ้นเป็นพระอารามหลวงในภายหลัง

ลำดับความเป็นมาของนามวัด

ตามประวัติที่เล่าสืบต่อกันมา นามดั้งเดิมของวัดคือ “วัดหงส์” เนื่องด้วยมีเสาหงส์อันเป็นสัญลักษณ์ตั้งอยู่ภายในวัด ต่อมาเมื่อส่วนยอดของเสาที่เป็นรูปหงส์ได้ชำรุดและหักลงมา ชาวบ้านจึงนำธงไปประดับไว้ที่ปลายเสาแทน และเปลี่ยนชื่อเรียกเป็น “วัดเสาธง”

กาลต่อมา เสาธงดังกล่าวได้หักลงเป็นสองท่อน จึงเป็นที่มาของชื่อ “วัดเสาธงทอน” ในลำดับถัดมา

ที่มาของนาม “วัดโสธร”

นาม “วัดโสธร” ที่ใช้ในปัจจุบันนั้น มีที่มาจากการที่วัดได้อัญเชิญ “พระพุทธโสธร” หรือหลวงพ่อโสธร มาประดิษฐานเป็นพระประธานหลังจากที่ท่านได้แสดงปาฏิหาริย์ลอยน้ำมาตามแม่น้ำบางปะกง โดยคำว่า “โสธร” (มาจากภาษาบาลี “โสตฺถร”) มีความหมายว่า “บริสุทธิ์, ศักดิ์สิทธิ์” จึงเป็นนามมงคลที่ตั้งขึ้นเพื่อเป็นพุทธบูชาและเป็นเกียรติแก่องค์หลวงพ่อโสธรโดยตรง

ทั้งนี้ ประวัติขององค์หลวงพ่อโสธรยังมีความเชื่อมโยงกับ ตำนานพระพุทธรูปลอยน้ำ ๕ พี่น้อง ซึ่งรวมถึงหลวงพ่อบ้านแหลม ณ จังหวัดสมุทรสงคราม เรื่องราวดังกล่าวสะท้อนถึงเครือข่ายความศรัทธาและความศักดิ์สิทธิ์ที่เชื่อมโยงถึงกันในหมู่พุทธศาสนิกชน และตอกย้ำถึงความสำคัญของวัดแห่งนี้มาตั้งแต่อดีต

ประวัติและความสำคัญ

วัดโสธรวรารามวรวิหาร เดิมมีนามว่า “วัดหงษ์” เป็นวัดเก่าแก่ที่สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ปัจจุบันมีสถานะเป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดวรวิหาร วัดแห่งนี้เป็นศาสนสถานสำคัญคู่บ้านคู่เมืองฉะเชิงเทรา ด้วยเป็นที่ประดิษฐาน “หลวงพ่อพุทธโสธร” พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์อันเป็นที่เคารพสักการะสูงสุดของพุทธศาสนิกชนทั่วประเทศ

พุทธลักษณะและปริศนาธรรมแห่งองค์พระ

องค์หลวงพ่อพุทธโสธรที่ปรากฏแก่สาธุชนในปัจจุบันนั้น มีพุทธลักษณะเป็นพระพุทธรูปปูนปั้นลงรักปิดทอง ปางสมาธิ มีขนาดหน้าตักกว้าง ๑.๖๕ เมตร สูง ๑.๔๘ เมตร (ไม่รวมฐาน) เปี่ยมด้วยพุทธศิลป์อันงดงามสงบเย็น

การก่อสร้างพระอุโบสถหลังใหม่

เดิมทีหลวงพ่อพุทธโสธรประดิษฐานอยู่ในพระอุโบสถหลังเก่าที่มีขนาดค่อนข้างเล็ก ร่วมกับพระพุทธรูปบริวารอีก ๑๘ องค์ ครั้นเมื่อวันที่ ๒๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๐๙ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (รัชกาลที่ ๙) ได้เสด็จพระราชดำเนินมายังวัดโสธรฯ และมีพระราชปรารภถึงความคับแคบของพื้นที่พระอุโบสถ พระพรหมคุณาภรณ์ (จริปุณโญ ด.เจียม กุลละวณิชย์) อดีตเจ้าอาวาส จึงได้สนองพระราชปรารภนั้นโดยริเริ่มดำเนินการรวบรวมเงินบริจาคจากผู้มีจิตศรัทธาเพื่อสร้างพระอุโบสถหลังใหม่

  • ๓๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๓๐ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรฯ เสด็จพระราชดำเนินทรงประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์
  • ๕ กันยายน พ.ศ. ๒๕๓๙ เสด็จพระราชดำเนินทรงประกอบพิธียกยอดฉัตรทองคำบริสุทธิ์น้ำหนัก ๗๗ กิโลกรัม ขึ้นประดิษฐานเหนือยอดมณฑปพระอุโบสถ
  • ๓๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๙ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้าฯ เสด็จพระราชดำเนินมาทรงประกอบพิธีตัดหวายลูกนิมิต

สถาปัตยกรรมและวิศวกรรม

พระอุโบสถหลังใหม่ได้รับการออกแบบสถาปัตยกรรมไทยประยุกต์โดย ม.ร.ว.มิตรารุณ เกษมศรี (ศิลปินแห่งชาติ) และ ดร.ประเทือง เลิศประเสริฐ ส่วนงานด้านวิศวกรรมโครงสร้างอันซับซ้อนนั้นดูแลโดย ดร.อรุณ ชัยเสรี (ศิลปินแห่งชาติ)

จุดเด่นทางวิศวกรรมคือ การก่อสร้างพระอุโบสถหลังใหม่ครอบทับพระอุโบสถหลังเดิม โดยไม่มีการเคลื่อนย้ายองค์หลวงพ่อพุทธโสธรและพระพุทธรูปบริวารออกจากตำแหน่งเดิมแม้แต่น้อย ซึ่งนับเป็นความสำเร็จทางเทคโนโลยีวิศวกรรมสมัยใหม่ที่น่าทึ่ง

มหาศิลปกรรมภายในพระอุโบสถ

งานศิลปกรรมภายในพระอุโบสถทั้งหมดได้รับการออกแบบโดย ศาสตราจารย์เกียรติคุณประหยัด พงษ์ดำ (ศิลปินแห่งชาติ) โดยสร้างสรรค์พื้นที่ทั้งหมดให้เป็นดัง “แดนทิพย์” หรือมณฑลแห่งจักรวาลตามคติไตรภูมิ จิตรกรรมฝาผนังตั้งแต่พื้นจรดเพดานล้วนบอกเล่าเรื่องราวของมหาสมุทรสีทันดร, ท้าวจตุโลกบาล, สรวงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์, พรหมโลก และหมู่ดาวนักษัตร

จุดที่น่าอัศจรรย์ที่สุดคือ ภาพดวงดาวบนเพดานพระอุโบสถ ได้รับการกำหนดตำแหน่งดาราศาสตร์ให้ตรงกับการเรียงตัวของดวงดาวบนท้องฟ้าจริง ณ วันที่ ๕ กันยายน พ.ศ. ๒๕๓๙ ในเวลาที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรฯ ทรงประกอบพิธียกยอดฉัตรทองคำ ซึ่งเป็นการจารึกเหตุการณ์มหามงคลนั้นไว้คู่กับจักรวาลและพระพุทธศาสนาสืบไปชั่วนิรันดร์

สถานะและการอุปถัมภ์

วัดโสธรวรารามวรวิหาร ได้รับพระมหากรุณาธิคุณในการก่อสร้างพระอุโบสถหลังใหม่ โดย พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเป็นองค์ประธานคณะกรรมการอำนวยการก่อสร้าง ซึ่งสะท้อนถึงความสำคัญของวัดในฐานะศาสนสถานในพระบรมราชูปถัมภ์

พุทธลักษณะและคติความเชื่อแห่งองค์พระ

ตามตำนานที่เล่าสืบต่อกันมาเชื่อว่า ลักษณะขององค์หลวงพ่อโสธรที่ปรากฏในปัจจุบันเป็นเพียงองค์พระที่สร้างขึ้นเพื่อพอกหุ้มอำพรางองค์จริงไว้ โดยองค์จริงที่ประดิษฐานอยู่ภายในนั้นเป็นพระพุทธรูปหล่อโลหะสำริด ศิลปะล้านช้าง ที่มีพุทธลักษณะงดงามยิ่งนัก การพอกปูนทับองค์จริงไว้ในอดีตนั้นเกิดจากเจตนาของพระเถระในสมัยนั้นที่ต้องการปกป้ององค์พระให้พ้นจากการลักขโมยหรือการทำลาย

ความศรัทธาและการสักการะบูชา

ด้วยกิตติศัพท์ในความศักดิ์สิทธิ์และพุทธานุภาพของหลวงพ่อโสธร ทำให้วัดแห่งนี้เป็นศูนย์รวมแห่งศรัทธาและเป็นจุดหมายปลายทางของพุทธศาสนิกชนจากทั่วทุกสารทิศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์และวันหยุดนักขัตฤกษ์ จะมีคลื่นมหาชนหลั่งไหลเข้ามาสักการะอย่างเนืองแน่นตลอดทั้งวัน

สำหรับผู้ที่ประสบความสำเร็จหรือสมปรารถนาในคำอธิษฐาน นิยมกลับมาถวายเครื่องบูชาเพื่อแก้บน โดยเครื่องสักการะที่เป็นเอกลักษณ์และเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายคือ ไข่ต้ม และการแสดง ละครรำ ซึ่งสะท้อนถึงคติความเชื่อและวิธีปฏิบัติที่สืบทอดกันมาในวัฒนธรรมท้องถิ่น

พุทธสถานและสิ่งสำคัญภายในวัด

นอกเหนือจากองค์หลวงพ่อพุทธโสธรอันเป็นหัวใจสำคัญของวัดแล้ว ภูมิทัศน์และสถาปัตยกรรมโดยรอบยังประกอบด้วยองค์ประกอบที่สำคัญและงดงามยิ่ง ได้แก่

  • พระอุโบสถหลังใหม่ มีลักษณะทางสถาปัตยกรรมไทยประยุกต์ที่วิจิตรตระการตา
  • ทัศนียภาพริมแม่น้ำบางปะกง บริเวณหน้าวัดมีทัศนียภาพอันร่มรื่นของแม่น้ำบางปะกงไหลผ่าน
  • ศาสนสถานอื่นๆ ภายในวัดยังมีศาลาและโรงเจสำหรับประกอบศาสนกิจ

ศาสนสถานแห่งนี้ยังเป็นที่เคารพเลื่อมใสในหมู่ชาวไทยเชื้อสายจีนและชาวจีนจากต่างประเทศเป็นอย่างสูง ดังจะเห็นได้จากการเดินทางมาเพื่อบำเพ็ญกุศลของพุทธศาสนิกชนจากจีนแผ่นดินใหญ่ ฮ่องกง และไต้หวันอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสำคัญ

งานบุญประจำปีวัดโสธรวรารามวรวิหาร

วัดหลวงพ่อโสธรจัดงานบุญประจำปี ๓ ครั้ง ยิ่งใหญ่ช่วงปลายปี

วัดโสธรวรารามวรวิหาร หรือวัดหลวงพ่อโสธร จังหวัดฉะเชิงเทรา จัดงานบุญประเพณีนมัสการหลวงพ่อโสธรเป็นประจำทุกปี โดยมีทั้งหมด ๔ ครั้งในแต่ละปี ซึ่งแต่ละครั้งจะจัดขึ้นในช่วงเวลาที่แตกต่างกันไปตามปฏิทินจันทรคติ

งานนมัสการหลวงพ่อโสธรมี ๓ ครั้งต่อปี ดังนี้

๑. งานเทศกาลกลางเดือน ๕ (งานสมโภช) จัดขึ้นเป็นเวลา ๓ วัน โดยจะเริ่มตั้งแต่วันขึ้น ๑๔ ค่ำ ถึงวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๕ ของทุกปี ซึ่งมักจะอยู่ในช่วงเดือนเมษายนหรือพฤษภาคม งานนี้ถือเป็นงานสมโภชองค์หลวงพ่อโสธร

๒. งานเทศกาลตรุษจีน จัดขึ้นเพื่อเปิดโอกาสให้ชาวไทยเชื้อสายจีนได้นมัสการหลวงพ่อโสธรในช่วงเทศกาลปีใหม่ของจีน มีระยะเวลา ๕ วัน คือตั้งแต่วันขึ้น ๑ ค่ำ ถึง ๕ ค่ำ เดือน ๓ ตามปฏิทินจีน ซึ่งโดยปกติจะอยู่ในช่วงเดือนมกราคมหรือกุมภาพันธ์

๓. งานเทศกาลกลางเดือน ๑๒ (งานนมัสการและงานประจำปีจังหวัดฉะเชิงเทรา) ถือเป็นงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง จัดขึ้นพร้อมกับงานประจำปีของจังหวัดฉะเชิงเทรา โดยปกติจะเริ่มตั้งแต่วันขึ้น ๑๒ ค่ำ เดือน ๑๒ และจัดต่อเนื่องไปประมาณ ๑๐-๑๓ วัน ซึ่งจะอยู่ในช่วงเดือนพฤศจิกายน ไฮไลท์สำคัญของงานนี้คือ พิธีอัญเชิญหลวงพ่อโสธรองค์จำลองลงเรือ ล่องไปตามแม่น้ำบางปะกง ทั้งทางทิศใต้ (มุ่งหน้าอำเภอบางปะกง) และทิศเหนือ (มุ่งหน้าอำเภอบางคล้า) เพื่อให้ประชาชนที่อยู่ริมสองฝั่งแม่น้ำได้สักการะบูชา นอกจากนี้ยังมีขบวนแห่ทางบกที่สวยงามตระการตา และมหรสพต่างๆ อีกมากมาย

ดังนั้น เพื่อให้ทราบวันที่ที่แน่นอนในแต่ละปี ประชาชนควรตรวจสอบประกาศจากทางวัดโสธรวรารามวรวิหารหรือจังหวัดฉะเชิงเทราอีกครั้ง เนื่องจากวันที่จัดงานจะขึ้นอยู่กับปฏิทินจันทรคติ ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงไปในแต่ละปี

ลำดับเจ้าอาวาสวัดโสธรวรารามวรวิหาร

พระอาจารย์อ้น ตั้งแต่ ๒๔๐๕-๒๔๑๒
พระอาจารย์จู ตั้งแต่ ๒๔๑๒-๒๔๑๘
พระอาจารย์ปาน ตั้งแต่ ๒๔๑๘-๒๔๕๐
พระอาจารย์หลิน ตั้งแต่ ๒๔๕๘-๒๔๕๒
พระอาจารย์กาด รักษาการตั้งแต่ ๒๔๘๒-๒๔๘๔
พระครูอุดมสมณคุณ ตั้งแต่ ๒๔๘๔-๒๔๘๘
พระมหาก่อ เขมทสฺสี ตั้งแต่ ๒๔๘๘-๒๔๙๒
พระเขมารามมุนี ตั้งแต่ ๒๔๙๒-๒๕๐๒
พระราชเขมากร ตั้งแต่ ๒๕๐๒-๒๕๐๖
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ปุ่น ปุณฺณสิริ) วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร รักษาการตั้งแต่ ๒๕๐๖-๒๕๐๗
พระพรหมคุณาภรณ์ (เจียม) ตั้งแต่ ๒๕๐๗-๒๕๔๐
พระราชมงคลวุฒาจารย์ (สุธีร์) ตั้งแต่ ๒๕๔๑-๒๕๔๗
พระพรหมสุธี (เสนาะ ปญฺญาวชิโร) วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร รักษาการตั้งแต่ ๒๕๔๗-๒๕๕๒
พระธรรมมังคลาจารย์ (ประยงค์ ปิยวณฺโณ) ตั้งแต่ ๒๕๕๒-๒๕๖๔
พระเทพรัตนมุนี (สุรชัย สุรชโย) วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร รักษาการตั้งแต่ ๒๕๖๔-๒๕๖๕
พระเทพภาวนาวชิรคุณ (ศิริวัฒน์ สิริวฑฺฒโน) ตั้งแต่ ๒๕๖๕ – ปัจจุบัน

พระเทพภาวนาวชิรคุณ

พระเทพภาวนาวชิรคุณ วิ.(ศิริวัฒน์ สิริวฑฺฒโน) เป็นพระราชาคณะชั้นเทพ ฝ่ายวิปัสสนาธุระ,เจ้าอาวาสวัดโสธรวรารามวรวิหาร และเจ้าคณะจังหวัดฉะเชิงเทรา

ประวัติ

พระเทพภาวนาวชิรคุณ มีนามเดิมว่า ศิริวัฒน์ อาภาสมบัติ เกิดปีฉลู ตรงกับวันที่ ๑๔ เมษายน พ.ศ. ๒๕๐๔ ที่บ้านเลขที่ ๓๘/๑๒๑ ถนนศรีโสธรตัดใหม่ ตำบลหน้าเมือง อำเภอเมือง จังหวัดฉะเชิงเทรา บิดา-มารดา ชื่อ นายเสนีย์ และนางโสภา นามสกุลอาภาสมบัติ

การอุปสมบท

อายุ ๒๘ ปี เข้าพิธีอุปสมบท เป็นพระภิกษุ ตรงกับ ปีมะเส็ง วันที่ ๑ ก.ค. ๒๕๓๒ ณ พัทธสีมา พระอุโบสถวัดโสธรวรารามวรวิหาร โดย มีพระธรรมเสนานี วัดโสธรวรารามวรวิหาร เป็นพระอุปัชฌาย์, พระพุทธิรังษี วัดโสธรวรารามวรวิหาร เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระครูวุฒิวรารักษ์ วัดโสธรวรารามวรวิหาร เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายานามว่า สิริวฑฺฒโน

การศึกษา/วิทยฐานะ

  • พ.ศ. ๒๕๒๖ สำเร็จการศึกษาประกาศนียบัตรการศึกษาชั้นสูง (ป.กศ.สูง) จากวิทยาลัยครูฉะเชิงเทรา กระทรวงศึกษาธิการ
  • พ.ศ. ๒๕๓๖ สอบไล่ได้นักธรรมชั้นเอก สำนักงานแม่กองธรรมสนามหลวง วัดโสธรวรารามวรวิหาร สำนักเรียนคณะจังหวัดฉะเชิงเทรา
  • พ.ศ. ๒๕๕๒ สำเร็จการศึกษาปริญญาตรี พุทธศาสตรบัณฑิต สาขาพระพุทธศาสนา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

งานปกครองบริหารกิจการคณะสงฆ์

  • พ.ศ. ๒๕๔๕ ได้รับพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราชแต่งตั้งให้ เป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวง วัดโสธรวรารามวรวิหาร ตำบลหน้าเมือง อำเภอเมืองฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทรา
  • พ.ศ. ๒๕๕๕ ได้รับพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราชแต่งตั้งให้ เป็นรองเจ้าคณะจังหวัดฉะเชิงเทรา ฝ่าย(มหานิกาย)
  • พ.ศ. ๒๕๖๐ ได้รับการแต่งตั้งจากเจ้าคณะภาค ๑๒ ให้ เป็นผู้รักษาการแทนเจ้าคณะจังหวัดฉะเชิงเทรา ฝ่าย(มหานิกาย)
  • พ.ศ. ๒๕๖๔ ได้รับพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราชโดยพระราชดำริพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แต่งตั้งให้ เป็นเจ้าคณะจังหวัดฉะเชิงเทรา ฝ่าย(มหานิกาย)
  • พ.ศ. ๒๕๖๔ ได้รับพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช โดยพระราชดำริพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แต่งตั้งให้ เป็นเจ้าอาวาสพระอารามหลวง วัดโสธรวรารามวรวิหาร จังหวัดฉะเชิงเทรา

งานด้านการศึกษา

  • พ.ศ. ๒๕๓๖ เป็นครูสอนพระปริยัติธรรมสำนักเรียนวัดโสธรวรารามวรวิหาร และเป็นคณะกรรมการและผู้อุปถัมภ์สนามสอบธรรมสนามหลวง สำนักเรียนคณะจังหวัดฉะเชิงเทรา รวมทั้งเป็นคณะกรรมการสถานศึกษาโรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ จังหวัดฉะเชิงเทรา

สมณศักดิ์

  • พ.ศ. ๒๕๓๓ ได้รับแต่งตั้งจากพระธรรมเสนานี (เจียม จิรปุญฺโญ) ให้ดำรงสมณศักดิ์พัดยศฐานานุกรมพระราชาคณะชั้นธรรม ในฐานานุศักดิ์ที่ พระครูใบฎีกา
  • พ.ศ. ๒๕๓๔ ได้รับแต่งตั้งจากพระพรหมคุณาภรณ์ (เจียม จิรปุญฺโญ) อดีตเจ้าคณะจังหวัดฉะเชิงเทรา อดีตเจ้าอาวาสวัดโสธรวรารามวรวิหาร ให้ดำรงสมณศักดิ์พัดยศฐานานุกรม พระราชาคณะเจ้าคณะรอง ชั้นหิรัญบัฏ ในฐานานุศักดิ์ที่ พระครูสังฆภารพิสิฐ
  • พ.ศ. ๒๕๔๕ ได้รับแต่งตั้งจากพระธรรมสิทธิเวที (เสนาะ ปญฺญาวชิโร) อดีตเจ้าคณะภาค ๑๒ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ให้ดำรงสมณศักดิ์พัดยศฐานานุกรม พระราชาคณะชั้นธรรม ในฐานานุศักดิ์ที่ พระครูธรรมธร
  • พ.ศ. ๒๕๔๗ ได้รับพระราชทานสัญญาบัตรตั้งสมณศักดิ์พัดยศขึ้น เป็นพระครูสัญญาบัตรผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวงชั้นเอก ฝ่ายวิปัสสนาธุระ มีนามว่า พระครูวิมลภาวนาประสิทธิ์,(วิ.)
  • พ.ศ. ๒๕๕๐ ได้รับพระราชทานสัญญาบัตรตั้งสมณศักดิ์พัดยศขึ้น เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญยก ฝ่ายวิปัสสนาธุระ มีนามว่า พระพิมลภาวนาพิธาน,(สย.วิ.)
  • พ.ศ. ๒๕๖๖ ได้รับพระราชทานสัญญาบัตรตั้งสมณศักดิ์พัดยศขึ้น เป็นพระราชาคณะชั้นเทพ ฝ่ายวิปัสสนาธุระ มีนามว่า ระเทพภาวนาวชิรคุณ,(วิ.) วิบุลพุทธโสธรบริบาล ศาสนภารธุราทร มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี  พระราชาคณะชั้นเทพ ฝ่ายวิปัสสนาธุระ สถิต ณ วัดโสธรวราราม วรวิหาร พระอารามหลวง จังหวัดฉะเชิงเทรา (๒๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๖)
  • พ.ศ. ๒๕๕๕ ได้รับพระราชทานสัญญาบัตรตั้งสมณศักดิ์พัดยศขึ้น เป็นพระราชาคณะชั้นราช ฝ่ายวิปัสสนาธุระ มีนามว่า พระราชภาวนาพิธาน,(วิ.) ศาสนภารธุราทร มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี
    อ้างอิง: พิกิพีเดีย

พระอุโบสถวัดโสธร (คลิก: เข้าชมประมวลภาพพระอุโบสถวัดโสธร)

พระอุโบสถวัดโสธรวรารามวรวิหารหลังใหม่ ซึ่งถือเป็นศูนย์รวมแห่งพลังศรัทธาและเป็นสถาปัตยกรรมชิ้นเอกแห่งยุครัตนโกสินทร์ครับ

ความเป็นมาและเหตุผลในการสร้าง

พระอุโบสถหลังเดิมมีขนาดเล็ก ไม่สามารถรองรับพุทธศาสนิกชนจำนวนมหาศาลที่หลั่งไหลมาจากทั่วทุกสารทิศเพื่อกราบนมัสการหลวงพ่อโสธรได้ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (รัชกาลที่ ๙) จึงมีพระราชดำริให้สร้างพระอุโบสถหลังใหม่ขึ้นเพื่อทดแทนหลังเดิม

โดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (พระอิสริยยศในขณะนั้น) ทรงเป็นองค์ประธานในการดำเนินงาน และได้เริ่มดำเนินการก่อสร้างตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๓๙ และแล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๕๔๙ใช้เวลาก่อสร้างยาวนานถึง ๑๐ ปี

แนวคิดหลักและสถาปัตยกรรม: “วิมานบนสวรรค์”

พระอุโบสถหลังใหม่นี้ได้รับการออกแบบโดยสถาปนิกและศิลปินชั้นครูของประเทศ นำโดย ม.ร.ว.มิตรารุณ เกษมศรี (ศิลปินแห่งชาติและสถาปนิกพิเศษประจำสำนักพระราชวัง) และ ดร.ประเทือง เลิศประเสริฐ

แนวคิดหลักในการออกแบบคือการสร้าง “วิมานทิพย์บนสรวงสวรรค์” ที่ครอบองค์หลวงพ่อโสธรเอาไว้ เป็นสถาปัตยกรรมไทยประยุกต์แห่งยุครัตนโกสินทร์ที่สง่างามและยิ่งใหญ่

  • รูปทรงพระอุโบสถ มีลักษณะเป็นอาคารจัตุรมุข (มี ๔ มุข) ยอดกลางเป็น มณฑป ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมที่มีหลังคาเป็นชั้นซ้อนกันขึ้นไป ยอดแหลมสูงสุด มีฉัตรทองคำ ๕ ชั้นสูงตระหง่านถึง ๘๔ เมตร ซึ่งเป็นตัวแทนของวิมานที่ประทับของเทวดา เพื่อเป็นที่ประดิษฐานขององค์หลวงพ่อโสธร
  • การใช้หินอ่อน การเลือกใช้ หินอ่อนสีขาวบริสุทธิ์จากเมืองคาร์รารา ประเทศอิตาลี มาประดับทั้งภายนอกและภายในนั้น มีจุดประสงค์เพื่อสื่อถึงความบริสุทธิ์ของพระพุทธศาสนา และทำให้พระอุโบสถดูงดงามราวกับวิมานบนสรวงสวรรค์ตามแนวคิดหลัก อีกทั้งยังมีความคงทนถาวรสมกับเป็นศาสนสถานสำคัญ

ศิลปกรรมภายใน: จักรวาลและตำนาน

ดังที่ได้ตอบไปก่อนหน้านี้ ภายในพระอุโบสถได้รับการออกแบบอย่างวิจิตรโดย ศาสตราจารย์เกียรติคุณประหยัด พงษ์ดำ (ศิลปินแห่งชาติ) เพื่อเติมเต็มแนวคิดหลักให้สมบูรณ์

  • เพดาน เป็นภาพเขียน “ทิพยจักรวาล” แสดงถึงดวงดาวและอนันตจักรวาล เปรียบเสมือนหลังคาของจักรวาลที่ครอบองค์พระประธานไว้
  • พื้น: เป็นภาพแกะสลักหินแกรนิตสีต่างๆ เป็นเรื่องราว “มหาสมุทร” ที่เหล่าสัตว์น้ำนานาชนิดแหวกว่ายมาสักการะองค์หลวงพ่อโสธรตามตำนาน

เมื่อประกอบกันทั้งหมด ผู้ที่เข้ามาภายในจะรู้สึกราวกับว่าได้อยู่ ณ ศูนย์กลางของจักรวาล โดยมีองค์หลวงพ่อโสธรเป็นประธาน ล้อมรอบด้วยพื้นน้ำและมีท้องฟ้าแห่งจักรวาลอยู่เบื้องบน เป็นการจำลองคติไตรภูมิตามความเชื่อของพุทธศาสนาไว้อย่างสมบูรณ์แบบ

งบประมาณ พลังศรัทธาของประชาชน

พระอุโบสถหลังใหญ่นี้ใช้งบประมาณในการก่อสร้างรวมทั้งสิ้นประมาณ ๒,๕๐๐ล้านบาท ซึ่งเป็นที่น่าอัศจรรย์ใจว่า งบประมาณทั้งหมดนั้นมาจาก เงินบริจาคของผู้มีจิตศรัทธาทั่วประเทศ โดยไม่ได้ใช้งบประมาณของแผ่นดินเลยแม้แต่บาทเดียว สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงพลังศรัทธาอันยิ่งใหญ่ที่ประชาชนมีต่อองค์หลวงพ่อโสธรได้เป็นอย่างดี

โดยสรุป พระอุโบสถวัดโสธรหลังใหม่จึงมิใช่เป็นเพียงอาคารที่สวยงาม แต่เป็นอนุสรณ์สถานแห่งศรัทธา เป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวพุทธ และเป็นผลงานพุทธศิลป์ชิ้นเอกที่เกิดจากการรวมพลังของศิลปินชั้นครูและความศรัทธาของมหาชนอย่างแท้จริงครับ

หน้าบัน ช่อฟ้า ไบระกา

องค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นคือส่วนหลังคา ซึ่งมีลักษณะเป็นทรงจั่วเปิด มุงด้วยกระเบื้องเซรามิกสี่ด่อน ประดับด้วยเครื่องบนอันวิจิตร ได้แก่ ช่อฟ้าปากปลารวยระกาฝักเพกา และหางหงส์แบบไทย โดยทั้งหมดทำจากเซรามิกเคลือบน้ำทอง ซึ่งมีเพียงแห่งเดียวในประเทศไทย โครงสร้างหลังคาด้านข้างซ้อนกัน ๔ ชั้น ส่วนด้านยาวซ้อนกัน ๕ ชั้น และมีหลังคาคลุมมุขโถงอีก ๑ ชั้น สำหรับหน้าบันนั้นมีทั้งหมด ๘ หน้าบัน แบ่งเป็น ๕ รูปแบบ โดยแต่ละแบบได้ประดิษฐ์ลวดลายขึ้นอย่างสวยงามและมีความหมายแตกต่างกันไป

๒. หน้าบันชั้นล่างทางทิศตะวันตก อัญเชิญตราพระลัญจกรประจำพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ มาประดิษฐาน ณ ศูนย์กลางซุ้มเรือนแก้ว ล้อมรอบด้วยลวดลายไทยอันวิจิตร เพื่อสื่อความหมายว่าพระอุโบสถหลังนี้สร้างขึ้นตามพระราชประสงค์ของพระองค์

๓. หน้าบันชั้นบนทั้งทิศตะวันออกและตะวันตก ประดิษฐานพระไตรปิฎกบนพานรองภายในซุ้มเรือนแก้ว ขนาบข้างด้วยพานพุ่มบูชา และครอบทับด้วยลวดลายที่ผูกเป็นทรงเรือนแก้วอีกชั้นหนึ่ง ทั้งหมดนี้สื่อความหมายถึงการเป็นสถานที่อันประดิษฐานพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

๔. หน้าบันชั้นล่างทั้งทิศเหนือและทิศใต้ ประดิษฐานรูปอุณาโลม (อันหมายถึงขนระหว่างพระขนงของพระพุทธเจ้า) ณ ศูนย์กลางเรือนบุษบก ขนาบข้างด้วยเครื่องฉัตรสูง ๒ องค์ และล้อมรอบด้วยลวดลายไทยประกอบอย่างวิจิตร

๕. หน้าบันชั้นบนทางทิศเหนือและทิศใต้ ประดิษฐานหมู่พระพุทธรูป ๕ พระองค์ในซุ้มเรือนแก้ว ล้อมรอบด้วยลวดลายประกอบอันวิจิตร ภาพจำหลักนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นการน้อมรำลึกถึงพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์แห่งภัทรกัปนี้ ตามคติความเชื่อในพุทธศาสนานิกายเถรวาท (หินยาน) ซึ่งประกอบด้วย พระกกุสันธะ, พระโกนาคมนะ, พระกัสสปะ, พระสมณโคดม (พระสิทธัตถะ) และพระศรีอาริยเมตไตรย (พระศรีอาริย์) ที่จะเสด็จมาตรัสรู้ในอนาคตกาล

องค์ประกอบเด่นส่วนยอด มีลักษณะเป็นมณฑปประยุกต์ทรงแปดเหลี่ยมซ้อนกัน ๔ ชั้น บริเวณสันเหลี่ยมประดับด้วยรวยระกาและหางหงส์รูปนาคสามเศียร บนยอดสูงสุดของมณฑปครอบด้วยฉัตรทองคำ ๕ ชั้น ซึ่งประดิษฐานอยู่เหนือเม็ดน้ำค้าง

ฉัตรทองคำนี้เปรียบเสมือนพระกลดที่กางกั้นแสงอาทิตย์ถวายแด่สิ่งสูงสุด เพื่อสื่อความหมายว่าสถานที่แห่งนี้คือที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

สำหรับทองคำที่ใช้ในการสร้างส่วนยอดนี้มีน้ำหนักรวมทั้งสิ้น ๗๗ กิโลกรัม (แหล่งที่มา เว็บ วันวาน…ของบางกรูด)

หลวงพ่อโสธรองค์จริง ประดิษฐานอยู่ภายในพระอุโบสถ ช่วงบูรณะลงรักปิดทอง

ภาพที่เห็นอยู่นี้ เป็นภาพหลวงพ่อโสธรองค์จริง ที่ประดิษฐานอยู่ภายในพระอุโบสถวัดโสธร ที่เป็นองค์สีดำก็เพราะต้องการบูรณะใหม่ จึงได้ลอกของเก่าออก แล้วทาด้วยรักเพื่อปิดทองนั่นเองครับ

ประวัติและความหมายของประเพณี “ลงรักปิดทอง”

“การลงรักปิดทอง” คือสุดยอดงานช่างฝีมือชั้นสูงของไทยที่มีมาแต่โบราณ เป็นกระบวนการที่ผสมผสานทั้งภูมิปัญญาในการอนุรักษ์และความศรัทธาทางพระพุทธศาสนาเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว

๑. “การลงรัก” เพื่อการอนุรักษ์และเตรียมพื้นผิว

“รัก” คืออะไร “รัก” หรือ “ยางรัก” คือ ยางไม้ที่ได้จาก ต้นรักใหญ่ (ชื่อวิทยาศาสตร์ Gluta usitata) เป็นวัสดุธรรมชาติที่มีคุณสมบัติมหัศจรรย์ คือเมื่อแห้งสนิทแล้วจะมีความแข็งแกร่งทนทานสูงมาก สามารถกันน้ำ กันปลวกและแมลงต่างๆ ได้

เหตุผลที่ต้องลงรัก

  • เพื่อการอนุรักษ์ ช่างโบราณใช้ยางรักทาเคลือบผิวของพระพุทธรูปที่สร้างจากปูนปั้นหรือไม้แกะสลัก เพื่อเป็นเกราะป้องกันเนื้อในขององค์พระจากความชื้นและแมลง ทำให้องค์พระมีความคงทนถาวรอยู่ได้นับร้อยนับพันปี
  • เพื่อเป็นตัวประสาน ยางรักเมื่อยังไม่แห้งสนิทจะมีคุณสมบัติเป็นกาวอย่างดีเยี่ยม ช่างจะใช้จังหวะนี้ในการติด “ทองคำเปลว” ซึ่งเป็นแผ่นทองคำบริสุทธิ์ที่ตีจนบางที่สุด ให้ยึดติดกับผิวขององค์พระได้อย่างแนบสนิทและคงทน

๒. “การปิดทอง” เพื่อการบูชาสูงสุดและความเชื่อ

การปิดทองทับลงบนชั้นรัก คือขั้นตอนที่เปี่ยมด้วยความหมายเชิงสัญลักษณ์และความศรัทธา

  • เป็นการถวายเครื่องบูชาอันสูงสุด ทองคำถือเป็นโลหะธาตุอันมีค่าสูงสุดและบริสุทธิ์ การนำทองคำมาปิดองค์พระพุทธรูป จึงเปรียบเสมือนการถวายเครื่องสักการะบูชาอันมีค่าที่สุดแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อแสดงความเคารพและความศรัทธาอย่างสูงสุด
  • ความเชื่อและอานิสงส์ มีความเชื่อสืบต่อกันมาว่า การปิดทองพระพุทธรูปเป็นมหากุศลอันยิ่งใหญ่ จะส่งผลบุญให้ผู้ที่กระทำมีผิวพรรณผ่องใสงดงาม มีสง่าราศี เป็นที่รักใคร่ของคนรอบข้าง และมีชีวิตที่สว่างไสวรุ่งเรืองเหมือนดังสีทองขององค์พระ
  • สัญลักษณ์แห่งพระปัญญาคุณ แสงสีทองอร่ามที่สะท้อนจากองค์พระ เป็นสัญลักษณ์แทนพระปัญญาธิคุณของพระพุทธเจ้าที่ทรงตรัสรู้และนำแสงสว่างแห่งธรรมะมาสู่โลก ช่วยขจัดความมืดคืออวิชชาให้หมดสิ้นไป

ดังนั้น ประเพณีการลงรักปิดทอง จึงเป็นภูมิปัญญาอันชาญฉลาดของช่างไทยโบราณ ที่รวมเอา ประโยชน์ใช้สอย (การอนุรักษ์) เข้ากับ คุณค่าทางจิตใจ (การแสดงความศรัทธา) ได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุดครับ

หลวงพ่อโสธรองค์จริง ประดิษฐานอยู่ภายในพระอุโบสถ หลังบูรณะเสร็จแล้ว

ประวัติความเป็นมาของ “หลวงพ่อโสธร” หรือ “พระพุทธโสธร” พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดฉะเชิงเทราและเป็นหนึ่งในพระพุทธรูปที่คนไทยเคารพศรัทธามากที่สุดองค์หนึ่งของประเทศ ซึ่งรวบรวมจากข้อมูลที่เชื่อถือได้และตำนานที่เล่าขานสืบต่อกันมาครับ

ความศรัทธาอันยิ่งใหญ่

หลวงพ่อโสธร เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ มีพระพักตร์ที่งดงามเปี่ยมด้วยพระเมตตา ประดิษฐานเป็นองค์ประธานในพระอุโบสถวัดโสธรวรารามวรวิหาร ริมแม่น้ำบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา ชื่อเสียงของท่านเป็นที่เลื่องลือไปทั่วประเทศในเรื่องความศักดิ์สิทธิ์และปาฏิหาริย์ จนได้รับการขนานนามว่าเป็น “หมอหลวง” ที่สามารถช่วยปัดเป่าโรคภัยไข้เจ็บและประทานพรให้สมปรารถนาได้

ตำนานหลวงพ่อโสธร ปาฏิหาริย์แห่งสายน้ำ

ประวัติของหลวงพ่อโสธรที่รับรู้กันอย่างกว้างขวางที่สุดคือ ตำนานพระพุทธรูปลอยน้ำ 5 พี่น้อง (เบญจภาคีวารีปาฏิหาริย์) ซึ่งเป็นเรื่องราวที่เล่าขานถึงพระพุทธรูป ๕ องค์ที่สร้างจากโลหะชนิดเดียวกันและมีความศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก ได้แสดงปาฏิหาริย์ลอยน้ำมาจากทางเหนือของไทยเพื่อหนีภัยสงคราม (สันนิษฐานว่าเป็นช่วงเสียกรุงศรีอยุธยา) และได้แยกย้ายไปประดิษฐานในจังหวัดต่างๆ ตามลำแม่น้ำสายหลัก ได้แก่

๑. หลวงพ่อโสธร จ.ฉะเชิงเทรา (องค์พี่ใหญ่)
๒. หลวงพ่อวัดบ้านแหลม จ.สมุทรสงคราม
๓. หลวงพ่อโต วัดบางพลีใหญ่ใน จ.สมุทรปราการ
๔. หลวงพ่อวัดไร่ขิง จ.นครปฐม
๕. หลวงพ่อทอง วัดเขาตะเครา จ.เพชรบุรี

การประดิษฐาน ณ วัดโสธรฯ

ในส่วนของหลวงพ่อโสธรนั้น ท่านได้ลอยน้ำมาตามแม่น้ำบางปะกง ผ่านเมืองต่างๆ จนมาถึงบริเวณหน้า “วัดหงษ์” (ชื่อเดิมของวัดโสธรฯ) ชาวบ้านเมื่อเห็นพระพุทธรูปที่งดงามลอยน้ำมาก็เกิดความศรัทธาอย่างแรงกล้า จึงได้ช่วยกันทำพิธีอัญเชิญขึ้นจากน้ำ

ครั้งแรก ชาวบ้านนับร้อยคนพยายามใช้เชือกขนาดใหญ่ผูกที่องค์พระแล้วช่วยกันฉุดดึง แต่ก็ไม่สามารถนำท่านขึ้นฝั่งได้ แม้จะพยายามอยู่หลายครั้งก็ตาม จนกระทั่งมีอาจารย์ผู้รู้ท่านหนึ่งได้แนะนำให้ตั้งศาลเพียงตา ทำพิธีบวงสรวงตามแบบโบราณ และใช้ “สายสิญจน์” เพียงเส้นเดียวคล้องที่พระหัตถ์ขององค์พระ แล้วอัญเชิญขึ้นจากน้ำ ปรากฏว่าสามารถนำท่านขึ้นมาประดิษฐานบนฝั่งได้อย่างง่ายดายราวกับปาฏิหาริย์

เหตุการณ์นี้สันนิษฐานว่าเกิดขึ้นในราว ปี พ.ศ. ๒๓๑๓ หรือหลังจากเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 ไปประมาณ 3 ปี หลังจากนั้น วัดหงษ์ก็ได้เปลี่ยนชื่อเป็น “วัดโสธร” (ซึ่งภายหลังเพี้ยนมาเป็น “โสธร”) อันหมายถึง “พี่น้องร่วมท้องเดียวกัน” เพื่อเป็นอนุสรณ์ถึงตำนาน 5 พี่น้องนั่นเอง

พุทธศิลป์และความลับขององค์จริง

สิ่งที่คนส่วนใหญ่เห็นและสักการะกันนั้น มีลักษณะเป็นพระพุทธรูปปูนปั้นลงรักปิดทอง ปางสมาธิ มีพุทธศิลป์แบบล้านช้างผสมอยุธยาตอนปลาย มีขนาดหน้าตักกว้าง ๑.๔๘ เมตร สูง ๑.๙๘ เมตร แต่ความจริงที่สำคัญที่สุดคือ องค์ที่เห็นนี้เป็นเพียงองค์ที่พอกหุ้มเอาไว้

  • องค์จริงที่อยู่ภายใน เชื่อกันว่าองค์จริงที่อยู่ด้านในนั้นเป็นพระพุทธรูปโลหะสัมฤทธิ์ที่มีขนาดเล็กกว่า เป็นศิลปะขอมหรือล้านช้างที่งดงามมาก ในอดีตมีโจรผู้ร้ายพยายามที่จะลักขโมยองค์หลวงพ่อ แต่ไม่สามารถยกท่านไปได้ จึงได้ใช้วิธีเจาะทำลายองค์พระเพื่อจะเอาทองสัมฤทธิ์ไป พระสงฆ์ในวัดจึงตัดสินใจใช้ปูนพอกทับองค์จริงไว้เพื่อเป็นการป้องกันและอำพรางจากโจรผู้ร้าย ทำให้องค์พระมีขนาดใหญ่ขึ้นดังที่เห็นในปัจจุบัน การกระทำนี้ได้ช่วยรักษาองค์จริงอันศักดิ์สิทธิ์ไว้ได้มาจนถึงทุกวันนี้

ความสำคัญและเหตุผลที่คนไทยศรัทธา

  • ความศักดิ์สิทธิ์และปาฏิหาริย์ หลวงพ่อโสธรมีชื่อเสียงอย่างมากในเรื่องการประทานพร ผู้คนนับล้านจากทั่วประเทศเดินทางมาเพื่อขอพรในเรื่องต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การรักษาโรคภัยไข้เจ็บ, การขอบุตร, ความสำเร็จในธุรกิจการค้า และการสอบแข่งขัน
  • เครื่องสักการะ สิ่งของที่ผู้คนนิยมนำมาถวายเพื่อบนบานหรือแก้บน คือ “ไข่ต้ม” จำนวนมาก และละครรำ ซึ่งกลายเป็นเอกลักษณ์ของการสักการะหลวงพ่อโสธร
  • ศูนย์รวมจิตใจ วัดโสธรวรารามวรวิหารเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวแปดริ้วและคนไทยทั้งประเทศ เป็นสถานที่ที่มอบความหวังและกำลังใจให้แก่ผู้คนมายาวนานกว่า ๒๕๐ ปี

โดยสรุป ประวัติของหลวงพ่อโสธรเป็นการผสมผสานระหว่างตำนานปาฏิหาริย์และความจริงทางประวัติศาสตร์ ความสำคัญของท่านไม่ได้อยู่แค่พุทธศิลป์ที่งดงาม แต่หยั่งรากลึกอยู่ในความศรัทธาและประสบการณ์ตรงของผู้คนที่ได้รับพรจากท่าน จนกลายเป็นหนึ่งในเสาหลักแห่งความเชื่อของสังคมไทยจวบจนปัจจุบัน

องค์พระประธานปางห้ามญาติ ประดิษฐานภายในหอไตร ในพระอุโบสถวัดโสธรด้านทิศตะวันออก

พระพุทธรูปปางห้ามญาติ ซึ่งเป็นหนึ่งในพระพุทธรูปองค์สำคัญที่ประดิษฐานอยู่หอไตร ภายในพระอุโบสถ วัดโสธรวรารามวรวิหาร เพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้สักการะบูชา

๑. ลักษณะขององค์พระและซุ้มลวดลาย
ลักษณะองค์พระ
  • ป็นพระพุทธรูปอยู่ในอิริยาบถ ยืนตรง (สมภังค์)
  • ทรงครองจีวรห่มคลุมอย่างงดงามตามแบบพุทธศิลป์ไทย
  • พระหัตถ์ (มือ) ข้างขวายกขึ้นเสมอพระอุระ (อก) ตั้งฝ่าพระหัตถ์ยื่นออกไปด้านหน้า ซึ่งเป็นพุทธลักษณะสำคัญของพระพุทธรูปปางนี้
  • พระพักตร์สงบนิ่ง เปี่ยมด้วยพระเมตตา พระเกตุมาลาเป็นเปลวเพลิง บ่งบอกถึงพระปัญญาอันสว่างไสวและการตรัสรู้
  • องค์พระมีสีทองอร่าม แสดงถึงความบริสุทธิ์และพระคุณอันสูงส่ง
ลักษณะซุ้มลวดลาย (ซุ้มเรือนแก้ว)
  • องค์พระประดิษฐานอยู่ภายใน “ซุ้มเรือนแก้ว” ที่แกะสลักลวดลายอย่างวิจิตรพิสดาร
  • ลวดลายส่วนใหญ่เป็นลายไทยที่อ่อนช้อยและทรงพลัง ที่เรียกว่า “ลายกระหนกเปลว” ลักษณะคล้ายเปลวไฟที่กำลังลุกโชติช่วง ซึ่งช่วยเสริมให้องค์พระพุทธรูปดูมีสง่าราศีและเปี่ยมด้วยพลังบารมียิ่งขึ้น
  • การสร้างซุ้มเรือนแก้วครอบองค์พระนั้น มีคติความเชื่อเพื่อเป็นการจำลองว่าพระพุทธองค์กำลังประทับอยู่ในวิมานแก้วบนสรวงสวรรค์ เป็นการยกย่องและเชิดชูพระเกียรติคุณให้สูงที่สุด
๒. ความเป็นมาของ “พระพุทธรูปปางห้ามญาติ”

ปางห้ามญาติ เป็นหนึ่งในพุทธประวัติตอนสำคัญที่แสดงถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระพุทธเจ้าในการยุติความขัดแย้งและนำมาซึ่งสันติสุข มีเรื่องเล่าดังนี้ครับ

ในสมัยพุทธกาล มีเมืองสองเมืองคือ กรุงกบิลพัสดุ์ ของเหล่าศากยวงศ์ (พระญาติฝ่ายพระบิดา) และ กรุงเทวทหะ ของเหล่าโกลิยวงศ์ (พระญาติฝ่ายพระมารดา) ทั้งสองเมืองตั้งอยู่ริม แม่น้ำโรหิณี และใช้น้ำจากแม่น้ำสายนี้ในการเกษตรร่วมกัน

ปีหนึ่งเกิดภาวะฝนแล้งอย่างรุนแรง น้ำในแม่น้ำแห้งขอดลง ชาวนาของทั้งสองเมืองต่างต้องการจะทดน้ำที่เหลืออยู่น้อยนิดเข้านาของฝ่ายตน จนเกิดการทะเลาะเบาะแว้งกันอย่างรุนแรง จากเรื่องเล็กน้อยของชาวนาได้ลุกลามไปสู่ความขัดแย้งระดับเจ้าผู้ครองนคร ทั้งสองฝ่ายต่างยกกองทัพมาประจันหน้ากันที่ริมแม่น้ำ เตรียมทำสงครามเพื่อแย่งชิงน้ำ

เมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเล็งเห็นด้วยพระญาณว่าหายนะกำลังจะเกิดขึ้นกับเหล่าพระญาติของพระองค์ จึงทรงเสด็จมายังริมฝั่งแม่น้ำโรหิณี แล้วประทับยืนอยู่ท่ามกลางระหว่างกองทัพทั้งสอง

เมื่อเหล่าพระญาติเห็นพระพุทธองค์เสด็จมา ต่างก็ทิ้งอาวุธและแสดงความเคารพ พระพุทธองค์จึงตรัสถามถึงสาเหตุของความขัดแย้ง เมื่อทรงทราบว่ามาจาก “การแย่งชิงน้ำ” จึงทรงตรัสถามด้วยพระปัญญาว่า

“ระหว่างน้ำในแม่น้ำ กับ เลือดเนื้อเชื้อไขของกษัตริย์ในราชวงศ์ศากยะและโกลิยะ สิ่งไหนมีค่ามากกว่ากัน?”

คำถามนี้ทำให้กษัตริย์และเหล่าทหารของทั้งสองฝ่ายได้สติ ต่างรู้สึกละอายใจที่กำลังจะฆ่าฟันกันเพียงเพราะการแย่งชิงน้ำซึ่งเทียบไม่ได้เลยกับคุณค่าของชีวิต ทั้งหมดจึงได้ปรองดองและสามัคคีกันอีกครั้ง

ด้วยเหตุนี้ พุทธลักษณะการยืนและยกพระหัตถ์ขวาขึ้น จึงเป็นอนุสรณ์ถึงเหตุการณ์ครั้งนั้น และกลายเป็น “ปางห้ามญาติ” ซึ่งเป็นสัญลักษณ์สากลของ การยุติความขัดแย้ง, การให้อภัย, และการใช้สันติวิธีแก้ปัญหา ครับ

ภาพจักรวาลบนเพดานภายในพระอุโสบถวัดโสธรวรารามวรวิหาร

ภาพเขียนบนเพดานพระอุโบสถวัดโสธรวรารามวรวิหารหลังใหม่นั้นมีความหมายลึกซึ้งและเป็นงานพุทธศิลป์ที่งดงามอย่างยิ่งครับ ไม่ใช่แค่ภาพดวงดาวบนท้องฟ้าธรรมดา แต่คือการจำลอง “จักรวาล” หรือ “อนันตจักรวาล” ตามคติความเชื่อทางพระพุทธศาสนา

ภาพนี้มีชื่อว่า “ทิพยจักรวาล” ออกแบบโดย ศาสตราจารย์เกียรติคุณประหยัด พงษ์ดำ ศิลปินแห่งชาติ เช่นเดียวกับภาพแกะสลักสัตว์น้ำบนพื้นพระอุโบสถครับ

ความหมายและจุดประสงค์ของการสร้าง

แนวคิดหลักของการออกแบบเพดานให้เป็นภาพดวงดาวและจักรวาลนั้น มีความหมายเชิงสัญลักษณ์ที่สำคัญดังนี้ครับ

  • สื่อถึงพระปัญญาคุณของพระพุทธเจ้า แสงสว่างของดวงดาวน้อยใหญ่ เปรียบได้กับพระปัญญาของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ส่องสว่าง นำทางมวลมนุษย์ให้หลุดพ้นจากความมืดมิดคืออวิชชา (ความไม่รู้)
  • แทนอนันตจักรวาลในคติไตรภูมิ ตามความเชื่อทางพุทธศาสนา โลกที่เราอยู่นี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาลที่เรียกว่า “อนันตจักรวาล” ซึ่งมีระบบสุริยะ ดวงดาว และโลกอื่นๆ อีกนับไม่ถ้วน การจำลองภาพนี้ไว้บนเพดานเหนือองค์พระประธาน จึงเปรียบเสมือนการประกาศว่าคำสอนของพระพุทธองค์นั้นยิ่งใหญ่และครอบคลุมไปทั่วทั้งจักรวาล
  • สร้างบรรยากาศแห่งความสงบและยิ่งใหญ่ เมื่อผู้เข้ามาสักการะแหงนมองขึ้นไป จะรู้สึกเหมือนอยู่ท่ามกลางจักรวาลอันกว้างใหญ่ ช่วยให้จิตใจสงบ เกิดสมาธิ และรู้สึกถึงความยิ่งใหญ่ของพระพุทธศาสนาและความเล็กน้อยของปัญหา мирской (ทางโลก)
  • สัญลักษณ์ของ “สุญญตา” หรือความว่าง: ความเวิ้งว้างของอวกาศยังสามารถสื่อถึง “สุญญตา” ซึ่งเป็นแก่นธรรมสำคัญในพระพุทธศาสนา หมายถึงความไม่มีตัวตนที่แท้จริงของสรรพสิ่ง

รายละเอียดที่น่าสนใจบนภาพเขียน

  • ดวงดาวและระบบสุริยะ ภาพจะแสดงให้เห็นดวงดาวน้อยใหญ่ มีดาวฤกษ์ ดาวเคราะห์ และเนบิวลาต่างๆ
  • ศูนย์กลางของจักรวาล จะมีดวงดาวที่สุกสว่างและมีขนาดใหญ่ที่สุดอยู่บริเวณกลางภาพ ซึ่งอาจสื่อถึงเขาพระสุเมรุอันเป็นศูนย์กลางของจักรวาลในคติไตรภูมิ หรือสื่อถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นศูนย์รวมแห่งแสงสว่างทางปัญญา
  • การใช้สีและทองคำเปลว การใช้พื้นสีน้ำเงินเข้มหรือดำแทนความล้ำลึกของอวกาศ และการประดับดวงดาวด้วยทองคำเปลว ทำให้เกิดความระยิบระยับ งดงาม และสื่อถึงคุณค่าอันสูงส่ง

ดังนั้น ภาพเขียนบนเพดานนี้จึงไม่ได้เป็นเพียงของตกแต่งเพื่อความสวยงาม แต่เป็นงานพุทธศิลป์ที่เปี่ยมด้วยความหมายลึกซึ้ง เชิญชวนให้พุทธศาสนิกชนได้ครุ่นคิดถึงหลักธรรมคำสอนอันยิ่งใหญ่ของพระพุทธศาสนาไปพร้อมกับการชื่นชมความงามครับ

พื้นหินอ่อนแกะสลักสัตว์ประเภทต่างๆบนหินอ่อนภายในพระอุโบสถวัดโสธร

ไขรหัสภาพสัตว์บนพื้นพระอุโบสถวัดโสธรฯ ตำนานและความศรัทธาที่สลักเสลา

ภาพแกะสลักรูปสัตว์นานาชนิดที่ปรากฏบนพื้นหินแกรนิตภายในพระอุโบสถหลังใหม่ของวัดโสธรวรารามวรวิหาร จังหวัดฉะเชิงเทรานั้น ไม่ใช่สัตว์จากป่าหิมพานต์ตามความเชื่อในคติไตรภูมิทั่วไป หากแต่เป็นการบอกเล่าเรื่องราว “ตำนานหลวงพ่อโสธร” ที่ลอยน้ำมา ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของวัดแห่งนี้ โดยมีจุดประสงค์เพื่อจารึกตำนานและความศรัทธาให้ปรากฏสืบไป

ภาพแกะสลักอันวิจิตรตระการตานี้เป็นผลงานการออกแบบของ ศาสตราจารย์เกียรติคุณประหยัด พงษ์ดำ ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (ภาพพิมพ์) ซึ่งได้แรงบันดาลใจจากตำนานขององค์หลวงพ่อโสธรที่เล่าขานสืบต่อกันมาว่าได้ลอยน้ำมาตามแม่น้ำบางปะกง ก่อนจะอัญเชิญขึ้นมาประดิษฐาน ณ วัดแห่งนี้

ความหมายของภาพแกะสลัก

ภาพบนพื้นพระอุโบสถเป็นการจำลองภาพของ “มหาสมุทร” อันกว้างใหญ่ เป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธอาสน์ดอกบัว ๑๘ องค์ ล้อมรอบด้วยเหล่าสัตว์น้ำนานาชนิดที่แหวกว่ายเข้ามาเพื่อสักการะองค์หลวงพ่อโสธร สัตว์ที่ปรากฏในภาพแกะสลักจึงเน้นไปที่ สัตว์น้ำต่างๆ ที่พบได้ในท้องถิ่นและแม่น้ำบางปะกง เช่น

  • ปลาขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ของแม่น้ำบางปะกง
  • กุ้ง หอย ปู ปลา และสัตว์น้ำอื่นๆ ที่แสดงถึงระบบนิเวศอันหลากหลาย

ภาพทั้งหมดนี้จึงมีจุดประสงค์หลักเพื่อ

  • บอกเล่าตำนาน เป็นการบันทึกและถ่ายทอดเรื่องราวประวัติความเป็นมาอันศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อโสธรให้พุทธศาสนิกชนที่เข้ามาในพระอุโบสถได้รับรู้และระลึกถึง
  • แสดงความศรัทธา ภาพของสัตว์ทั้งหลายที่มาสักการะเปรียบได้กับพุทธศาสนิกชนจากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลมานมัสการหลวงพ่อโสธรด้วยความเคารพศรัทธา
  • สร้างสุนทรียภาพ นอกจากความหมายเชิงสัญลักษณ์แล้ว งานแกะสลักนี้ยังถือเป็นพุทธศิลป์อันงดงามที่สร้างบรรยากาศให้พระอุโบสถมีความสงบและน่าเลื่อมใสยิ่งขึ้น

ดังนั้น แม้ภาพสัตว์ที่ปรากฏอาจมีลักษณะที่ดูคล้ายกับจินตนาการ แต่แท้จริงแล้วมีรากฐานมาจากเรื่องราวตำนานและความเชื่อที่มีต่อองค์หลวงพ่อโสธรโดยเฉพาะ มิใช่การนำเสนอสัตว์หิมพานต์ตามคติความเชื่อเรื่องจักรวาลในพระพุทธศาสนาโดยตรง แต่เป็นการสร้างสรรค์งานศิลปะที่ผสมผสานตำนานท้องถิ่นเข้ากับความศรัทธาได้อย่างลงตัวและงดงามยิ่ง

ทางเข้าวิหารหลวงพ่อพุทธโสธรจำลอง

ภาพนี้แสดงให้เห็นถึงทางเข้าของ “วิหารหลวงพ่อพุทธโสธร (จำลอง)” ซึ่งเป็นอาคารที่สร้างขึ้นเพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้เข้ามาปิดทองและสักการะองค์หลวงพ่อโสธรจำลองได้อย่างใกล้ชิด ลักษณะทางสถาปัตยกรรมของทางเข้ามีความงดงามและเปี่ยมด้วยความหมาย

หน้าบัน ศูนย์กลางแห่งความศรัทธา

ส่วนที่โดดเด่นและเป็นหัวใจสำคัญที่สุดของทางเข้าคือ หน้าบัน ซึ่งเป็นพื้นที่สามเหลี่ยมบนจั่วหลังคา มีลักษณะดังนี้

  • พระพุทธรูปประธาน ตรงกลางของหน้าบันประดิษฐานพระพุทธรูปนูนสูง ปางสมาธิ ซึ่งเป็นปางเดียวกับองค์หลวงพ่อโสธร องค์พระพุทธรูปมีสีทองอร่าม แสดงถึงพระบารมีและความบริสุทธิ์
  • ลวดลายประกอบ รายล้อมองค์พระพุทธรูปคือ “ลายกระหนกเปลว” สีทองที่พลิ้วไหวอย่างทรงพลังบนพื้นหลังสีน้ำเงินเข้ม ลวดลายนี้เปรียบเสมือนรัศมีหรือฉัพพรรณรังสีที่แผ่ออกมาจากองค์พระพุทธเจ้า สื่อถึงพระปัญญาธิคุณและพระมหากรุณาธิคุณที่ส่องสว่างนำทางมวลมนุษย์
  • สีพื้นหลัง การใช้พื้นหลังสีน้ำเงินเข้ม ช่วยขับให้องค์พระและลวดลายสีทองมีความโดดเด่นและงดงามยิ่งขึ้น ทั้งยังสื่อถึงท้องฟ้าหรือสวรรค์อันเป็นทิพยวิมาน

เครื่องประกอบสถาปัตยกรรม

บริเวณหลังคาและขอบหน้าบันประดับด้วยเครื่องประกอบสถาปัตยกรรมไทยอันเป็นเอกลักษณ์ ได้แก่

  • ช่อฟ้า ใบระกา และหางหงส์ ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของสถาปัตยกรรมวัดในประเทศไทย ทั้งหมดล้วนลงรักปิดทองอย่างสวยงาม เป็นเครื่องบ่งชี้ว่าอาคารแห่งนี้คือศาสนสถานอันศักดิ์สิทธิ์

โดยรวมแล้ว ลักษณะของทางเข้าวิหารแห่งนี้ได้รับการออกแบบอย่างประณีต โดยใช้หน้าบันเป็นจุดนำสายตาเพื่อบอกเล่าเรื่องราวความศักดิ์สิทธิ์ขององค์หลวงพ่อโสธร เป็นการต้อนรับสาธุชนด้วยพุทธศิลป์ที่งดงามและสร้างความรู้สึกเลื่อมใสศรัทธาตั้งแต่แรกเห็น

ประชาชนไปบนและแก้บนหลวงพ่อโสธรและถือโอกาสของพร ขอโชค ขอลาภจากหลวงพ่อโสธร

ภาพที่ท่านเห็นคือบรรยากาศอันคุ้นตาของลานแก้บนภายในวัดโสธรวรารามวรวิหาร ซึ่งเต็มไปด้วยไข่ไก่ต้มจำนวนมาก เรื่องนี้มีที่มาและความหมายที่น่าสนใจอย่างยิ่ง

ทำไมต้องแก้บนหลวงพ่อโสธรด้วย “ไข่ต้ม”

การแก้บนด้วยไข่ต้มนั้นไม่มีที่มาที่บันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษรที่ชัดเจน แต่เกิดจากเรื่องเล่า ตำนาน และเหตุผลแวดล้อมที่ผสมผสานกันจนกลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่สืบทอดมายาวนาน โดยมีข้อสันนิษฐานหลักๆ ดังนี้ครับ

  • ตามตำนานที่เล่าขาน (แพร่หลายที่สุด) มีเรื่องเล่าว่า ในอดีตมีชาวบ้านคนหนึ่งยากจนมาก แต่มีความศรัทธาในองค์หลวงพ่อโสธรอย่างแรงกล้า วันหนึ่งครอบครัวของเขาเกิดเรื่องเดือดร้อน จึงอยากจะมาบนบานขอพร แต่ด้วยความยากจนจึงไม่รู้จะหาอะไรมาถวายได้ เมื่อมองไปรอบตัวก็เห็นว่าที่บ้านตนเลี้ยงไก่และมีไข่ไก่อยู่ จึงได้ตั้งจิตอธิษฐานว่า หากพรที่ขอสำเร็จ จะนำไข่ไก่มาต้มถวาย ปรากฏว่าพรนั้นสัมฤทธิ์ผลอย่างน่าอัศจรรย์ เขาจึงนำไข่ต้มมาแก้บนตามที่ได้ให้สัจจะวาจาไว้ เรื่องราวนี้จึงแพร่หลายออกไป ผู้คนเมื่อมาขอพรแล้วประสบความสำเร็จจึงนิยมทำตามสืบต่อกันมา
  • ตามสภาพเศรษฐกิจและภูมิศาสตร์ของท้องถิ่น จังหวัดฉะเชิงเทราเป็นแหล่งปศุสัตว์และการทำฟาร์มไก่ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทยมาตั้งแต่อดีต ทำให้ “ไข่ไก่” เป็นผลผลิตที่หาได้ง่าย มีจำนวนมาก และมีราคาไม่แพง การใช้ไข่ไก่เป็นเครื่องแก้บนจึงเป็นสิ่งที่สะดวกสำหรับคนทุกชนชั้น ไม่ว่าจะมีฐานะอย่างไรก็สามารถหาซื้อมาถวายได้
  • ตามความหมายเชิงสัญลักษณ์: ไข่ เป็นสัญลักษณ์สากลของ การเกิด, การเริ่มต้นใหม่, ความสมบูรณ์, และความสำเร็จ การแก้บนด้วยไข่จึงมีความหมายอันเป็นมงคล เปรียบเสมือนการได้รับชีวิตใหม่หรือการเริ่มต้นใหม่หลังจากที่ปัญหาหรืออุปสรรคได้คลี่คลายลงจากพุทธานุภาพของหลวงพ่อ

ไข่อย่างอื่น เช่น ไข่เป็ด ไข่นกกระทา ใช้ได้หรือไม่

โดยหลักการแล้ว หัวใจสำคัญของการแก้บนคือ “การรักษาสัจจะ” และ “ความตั้งใจจริง” ไม่ได้มีข้อห้ามตายตัวว่าจะต้องเป็นไข่ไก่เท่านั้น อย่างไรก็ตาม ด้วยธรรมเนียมปฏิบัติที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนานและแข็งแรง ทำให้ “ไข่ไก่ต้ม” กลายเป็นเอกลักษณ์ที่ผูกพันกับการบนบานศาลกล่าวต่อหลวงพ่อโสธรไปแล้ว

ดังนั้น แม้ทางทฤษฎีจะสามารถใช้ไข่ชนิดอื่นได้ แต่ในทางปฏิบัติผู้คนแทบทั้งหมดจะนิยมใช้ไข่ไก่ต้มเป็นหลัก เพื่อให้เป็นไปตามธรรมเนียมที่เชื่อว่า “ท่านโปรด” และเป็นการปฏิบัติตามแบบแผนที่คนส่วนใหญ่ทำแล้วประสบความสำเร็จ

ความเป็นมาของ “การบนบานศาลกล่าว”

การบนบานเป็นคติความเชื่อที่มีรากฐานมาจาก ลัทธิผีสางเทวดา (Animism) ซึ่งเป็นความเชื่อดั้งเดิมในดินแดนแถบนี้มาตั้งแต่ก่อนพระพุทธศาสนาจะเผยแผ่เข้ามา โดยมีแนวคิดดังนี้

  • การทำสัญญา การบนเปรียบเสมือนการทำ “สัญญา” หรือ “ข้อตกลง” กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตนนับถือ (เช่น เทพารักษ์, เจ้าที่เจ้าทาง, หรือวิญญาณบรรพบุรุษ) ว่า “หากท่านช่วยให้ข้าพเจ้าสมหวังในเรื่อง… ข้าพเจ้าจะถวาย…เป็นการตอบแทน”
  • การผสมผสานกับพุทธศาสนา: เมื่อพระพุทธศาสนาเข้ามา ความเชื่อนี้ก็ได้ปรับเปลี่ยนและผสมผสานเข้ากับวัฒนธรรมเดิม ผู้คนเริ่มบนบานกับพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์หรือพระเกจิอาจารย์ที่เชื่อว่ามีบารมีและอิทธิฤทธิ์สูง
  • ความสำคัญของการ “แก้บน” การแก้บน หรือการทำตามสัญญาที่ให้ไว้ ถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งในคติความเชื่อนี้ เพราะเป็นการแสดงความขอบคุณและความเคารพต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และเชื่อว่าหากไม่ทำตามสัญญาอาจเกิดผลที่ไม่ดีตามมาได้

ดังนั้น การแก้บนด้วยไข่ต้มที่วัดโสธรจึงเป็นภาพสะท้อนที่ชัดเจนของวัฒนธรรมความเชื่อไทย ที่ผสมผสานตำนานท้องถิ่น สภาพเศรษฐกิจ และคติความเชื่อเรื่องการบนบานศาลกล่าวเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัวและเปี่ยมด้วยพลังศรัทธาครับ

ภาพที่เราเห็นกันอยู่นี้คือบรรยากาศภายใน “วิหารหลวงพ่อโสธร (จำลอง)” หรือที่หลายคนเรียกกันว่า วิหารสำหรับปิดทอง ครับ ที่นี่เป็นอีกหนึ่งจุดสำคัญภายในวัดโสธรฯ ที่คึกคักและเต็มไปด้วยพลังศรัทธาของผู้คนอยู่เสมอ

บรรยากาศที่เต็มไปด้วยแรงศรัทธา

สิ่งที่โดดเด่นที่สุดในภาพคือ แท่นบูชาขนาดใหญ่ที่ประดิษฐานพระพุทธรูปจำนวนมาก ซึ่งทั้งหมดเปล่งประกายสีทองอร่ามจากการที่มีผู้ศรัทธานำทองคำเปลวมาปิดทับกันอย่างหนาแน่น นี่คือภาพสะท้อนของความศรัทธาที่จับต้องได้ ผู้คนมากมายได้ฝากคำอธิษฐานและร่องรอยแห่งความเคารพไว้บนองค์พระเหล่านี้

หลวงพ่อโสธรองค์จำลองและพระพุทธรูปปางต่างๆ

  • องค์ประธาน แม้จะมีพระพุทธรูปหลายองค์ แต่หัวใจของวิหารแห่งนี้ก็คือ หลวงพ่อโสธรองค์จำลอง ซึ่งตั้งอยู่เป็นประธาน เพื่อให้ประชาชนได้เข้ามาสักการะและปิดทองได้อย่างใกล้ชิด ต่างจากองค์จริงในพระอุโบสถที่จะไม่อนุญาตให้ปิดทองเพื่อเป็นการอนุรักษ์
  • พระสังกัจจายน์ สังเกตทางด้านขวาของภาพ จะเห็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่มีลักษณะอ้วนท้วนสมบูรณ์ นั่นคือ พระสังกัจจายน์ ซึ่งผู้คนนิยมกราบไหว้ขอพรในเรื่องโชคลาภ ความสุข และความอุดมสมบูรณ์
  • พระพุทธรูปปางอื่นๆ รายล้อมองค์ประธานอยู่คือพระพุทธรูปปางต่างๆ อีกมากมาย ทั้งปางสมาธิ ปางห้ามญาติ (ยืน) ซึ่งอาจเป็นพระประจำวันเกิด หรือพระพุทธรูปที่ผู้คนนำมาถวาย การมีพระพุทธรูปที่หลากหลายนี้ก็เพื่อตอบสนองความเชื่อและความต้องการทางใจของผู้คนที่แตกต่างกันไป

หัวใจของวิหาร พื้นที่แห่งการมีส่วนร่วม

วิหารแห่งนี้เปรียบเสมือน “ห้องของประชาชน” ที่ทุกคนสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการแสดงความศรัทธาได้อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการปิดทอง สรงน้ำ (ในบางโอกาส) หรือถวายสังฆทาน บรรยากาศจึงมีความคึกคักและเข้าถึงง่าย เป็นพื้นที่ที่ทำให้รู้สึกว่าเราได้เชื่อมโยงกับองค์พระและฝากความปรารถนาของเราไว้ได้อย่างแท้จริงครับ

ภาพพระปางไสยาสน์และองค์พระมหาสังกัจจายน์ ภายในวิหารหลวงพ่อโสธรจำลอง

บรรยากาศอันเปี่ยมด้วยศรัทธาภายในวิหารหลวงพ่อโสธรจำลอง ซึ่งประดิษฐานพระพุทธรูปและรูปเคารพสำคัญทางพุทธศาสนาไว้มากมาย โดยมีองค์ประธานที่โดดเด่นอยู่สององค์คือ พระพุทธรูปปางปรินิพพาน และ พระมหาสังกัจจายน์ ซึ่งแต่ละองค์ล้วนมีคติความเชื่อและความเป็นมาที่น่าสนใจ

พระพุทธรูปปางปรินิพพาน

ในภาพด้านซ้ายปรากฏ พระพุทธรูปปางปรินิพพาน หรือที่เรียกโดยทั่วไปว่า ปางไสยาสน์ ในพุทธลักษณะบรรทมตะแคงขวา พระเศียรหนุนพระเขนย (หมอน) พระหัตถ์ขวารองรับไว้ พระเนตรหลับพริ้ม และมีพระพักตร์ที่เปี่ยมด้วยความสงบ การซ้อนกันของพระบาทแสดงถึงการมีสติสัมปชัญญะครบถ้วนจนถึงวาระสุดท้าย ปางนี้แสดงถึงเหตุการณ์สำคัญที่สุดในพุทธประวัติ คือการเสด็จดับขันธปรินิพพานของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นการสิ้นสุดแห่งทุกข์และการเวียนว่ายตายเกิดโดยสมบูรณ์ การได้สักการะพระพุทธรูปปางนี้จึงเปรียบเสมือนการระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณและคำสอนเรื่องความไม่ประมาทในชีวิต

พระมหาสังกัจจายน์

ส่วนภาพด้านขวาคือรูปเคารพของ พระมหาสังกัจจายน์ หรือ พระมหากัจจายนะ หนึ่งในพระอสีติมหาสาวกผู้เป็นเลิศในหลายด้าน โดยเฉพาะการอธิบายธรรมะที่ซับซ้อนให้เข้าใจง่าย เดิมทีท่านมีรูปงามจนเป็นที่ต้องตาต้องใจของผู้คน ทำให้เกิดความเข้าใจผิดและเป็นอุปสรรคต่อการเผยแผ่ธรรม ท่านจึงอธิษฐานจิตเปลี่ยนรูปลักษณ์ให้มีพระวรกายอ้วนท้วนสมบูรณ์ พระพักตร์ยิ้มแย้มเปี่ยมสุข ด้วยเหตุนี้ ท่านจึงได้รับการยกย่องให้เป็นสัญลักษณ์ของ โชคลาภ ความอุดมสมบูรณ์ และสติปัญญา รอยยิ้มของท่านสื่อถึงความมีเมตตาและความสุขจากภายใน

บรรยากาศโดยรวม

ภาพรวมของวิหารสะท้อนถึงแรงศรัทธาของพุทธศาสนิกชนอย่างชัดเจน แสงสีทองอร่ามขององค์พระปฏิมาที่เกิดจากการ ปิดทองคำเปลว ของสาธุชนที่มาสักการะ แผ่กระจายความศักดิ์สิทธิ์และความอบอุ่นไปทั่วทั้งบริเวณ พื้นวิหารที่ขัดมันวาวสะท้อนเงาของผู้คนและองค์พระ ทำให้พื้นที่ดูสว่างและกว้างขวางยิ่งขึ้น การมีอยู่ของผู้คนในอิริยาบถต่างๆ ทั้งการเดินชม การไหว้ และการปิดทอง บ่งบอกว่าที่แห่งนี้มิใช่เป็นเพียงพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงวัตถุโบราณ แต่เป็นศูนย์รวมจิตใจที่มีชีวิตชีวา ซึ่งผู้คนเดินทางมาเพื่อทำบุญ ขอพร และเสริมสร้างสิริมงคลให้แก่ชีวิตอย่างไม่ขาดสาย

จุดบูชาดอกไม้ธูปเทียนทอง อยู่ข้างพระวิหารหลวงพ่อโสธรจำลอง

จุดบูชาวัตถุมงคล อยู่บริเวณรอบนอกพระวิหารหลวงพ่อพุทธโสธรจำลอง


ขอบคุณที่แชร์

Leave a Comment